ตามที่สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง ‘กรมศุลกากร’ ได้ตรวจยึดซากสุกรแช่แข็งตกค้าง ณ ท่าเรือแหลมฉบัง จำนวน 161 ตู้ จากการตรวจสอบพบซากสัตว์ที่ยึดได้ทั้งหมด มีแหล่งกำเนิดจากต่างประเทศและไม่มีแหล่งที่มาอย่างชัดเจน
ประกอบกับไม่มีเอกสารรับรองการฆ่าสัตว์หรือสุขศาสตร์ของสัตวแพทย์ ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด หรือพาหะของโรคระบาดสัตว์ที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคและเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ภายในประเทศ อันจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศได้
โดยกรมศุลกากรได้อายัดตู้ทั้งหมดและได้ดำเนินการจนคดีถึงที่สุดแล้ว จำนวน 159 ตู้ น้ำหนักรวม 4,313,850 กิโลกรัม และมีหนังสือส่งมอบให้ด่านกักกันสัตว์ชลบุรี กรมปศุสัตว์ เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.66 ที่ผ่านมา เพื่อทำลายตาม พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558
ประกอบระเบียบกรมปศุสัตว์ว่า ด้วยการทำลายหรือจัดการโดยวิธีอื่นซึ่งสัตว์หรือซากสัตว์ที่นำเข้าหรือนำผ่านราชอาณาจักร พ.ศ.2563 ทั้งนี้ อีก 2 ตู้ ยังอยู่ระหว่างการดำเนินคดีของสำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง จึงไม่สามารถส่งมอบเพื่อไปทำลายได้
นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เผยว่า ที่ผ่านมา กรมศุลกากรได้ยื่นหนังสือให้กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดรวมถึงบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง
ทั้งในฐานะนิติบุคคลและในฐานะส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากร หน่วยงานภาครัฐ ตลอดจนผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ในความผิดนำเข้าซึ่งสัตว์หรือซากสัตว์โดยไม่ได้รับอนุญาต เพื่อให้ได้รับโทษตามกฎหมายเรียบร้อยแล้ว
อีกทั้ง ได้เพิ่มมาตรการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าประเภทสุกรมีชีวิต เนื้อสุกร และเครื่องในสุกร โดยได้แต่งตั้งคณะทำงานประสานงานแก้ไขปัญหาการนำเข้าสินค้าประเภทเนื้อสุกรหรือชิ้นส่วนสุกรที่ผิดกฎหมายและการบริหารจัดการของกลาง
ซึ่งประกอบด้วย กรมศุลกากร กรมปศุสัตว์ กรมการค้าภายใน กรมการค้าต่างประเทศ และสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เพื่อเป็นการปกป้องสังคมให้ปลอดภัยจากโรคระบาดที่อาจเกิดขึ้น ต่อไป