เศรษฐกิจไทย ยังคงเผชิญปัจจัยเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่ ปัจจัยภายในประเทศก็ยังไม่แน่นอนเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งอาจส่งผลกระทบให้การอนุมัติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ล่าช้าออกไป และกระทบการเบิกจ่ายของรัฐบาลในช่วงไตรมาส 4/2566 เป็นต้นไป รวมถึงยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการออกนโยบายต่างๆ ซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยที่ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าได้
ด้าน นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เผยว่า ผลการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและความเชื่อมั่นของหอการค้าไทย (นักธุรกิจ) ประจำเดือน พ.ค.66 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมปรับตัวดีขึ้น ซึ่งเป็นการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 และอยู่ในระดับสูงสุดรอบ 39 เดือนนับตั้งแต่เดือน มี.ค.63
โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักธุรกิจปรับดีขึ้น มาจากความรู้สึกว่าเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้น หลังจากการท่องเที่ยวฟื้นตัวขึ้นชัดเจน บรรยากาศการหาเสียงเลือกตั้งคึกคักทั่วประเทศ ส่งผลให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศและกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามภูมิภาค
ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคทั้งภาคประชาชนและนักธุรกิจ กลับเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนในการจัดตั้ง และเสถียรภาพทางการเมืองรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง เป็นอันดับแรก
นายธนวรรธน์ ระบุว่า ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ประเมินสถานการณ์ว่า หากการจัดตั้งรัฐบาลไม่ว่าจะขั้วใดในเดือน ส.ค.66 มีเสถียรภาพพอ และไม่เกิดการชุมนุมนอกสภาฯ การใช้งบประมาณยังอ้างอิงปีงบ 2566 ไปก่อนจนกว่าจะผ่านงบประมาณปี 2567 ในเดือน ก.พ.67 การท่องเที่ยวผลักดันจำนวนนักท่องเที่ยวตามคาด 25-28 ล้านคน เศรษฐกิจไทยมีโอกาสโตได้ 3.0-3.5%
ตรงกันข้าม หากมีเรื่องการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็นกรณีของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ไม่สามารถเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีได้ ก็อาจจะทำให้เกิดการประท้วงนอกสภาเหมือนกัน หรือการเปลี่ยนขั้วเปลี่ยนข้างที่ทำให้เกิดการประท้วงนอกสภาได้ ซึ่งบรรยากาศเหล่านี้ จะทำให้เกิดความลังเลในเสถียรภาพทางการเมือง และขณะนี้ มีหลายฝ่ายออกมาให้ความเป็นห่วงเรื่องเสถียรภาพทางการเมืองบ้างแล้ว และในต่างประเทศก็มีเช่นกัน
“หากมีการชุมนุมประท้วง และทำให้เกิดความไม่นิ่งในบรรยากาศของประเทศไทย ตลอดจนทำให้สถานทูตต่างๆ แจ้งเตือนนักลงทุนต่างประเทศถึงสถานการณ์ในประเทศไทย ทำให้มีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยปี 66 จะเติบโตต่ำลงโดยกรอบที่มองในเบื้องต้นคือ 2.5 ถึง 3%” นายธนวรรธน์ กล่าว
สุดปัง! พล.อ.ประยุทธ์ ดันเศรษฐกิจไทยขาขึ้น