ธุรกิจทำป้ายฮอต คาดเลือกตั้ง 2566 โกยรายได้ 20,000 ล้านบาท

ป้ายหาเสียงยังครองใจ คาดเลือกตั้ง 2566 นี้ ธุรกิจทำป้ายโกยรายได้ 20,000 ล้านบาท

วันเลือกตั้งทั่วไปในการเลือกตั้ง 2566 ถูกเคาะแล้วเป็นวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ค.2566 ขณะที่ วันเลือกตั้งล่วงหน้า คือ วันที่ 7 พ.ค.2566 บรรยากาศการเข้าคูหาไปกาเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ที่จะมีอำนาจเลือกผู้นำประเทศกลับมาอีกครั้ง

โดยบรรยากาศการหาเสียงแต่ละพรรค วันนี้ (29 มี.ค.2566) ก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ต่างขึ้นป้ายหาเสียงกัน ชูนโยบายดี นโยบายเด่น กันพรึบพรับ

ก่อนเข้าคูหาเลือกตั้ง ต้องเตรียมอะไรบ้าง?

ขณะที่ นายพงศ์ธีระ พัฒนพีระเดช นายกสมาคมการพิมพ์ไทย คาดว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ ธุรกิจทำป้ายหาเสียงจะมีเงินสะพัดประมาณ 20,000 ล้านบาท เนื่องจากแต่ละพรรคการเมือกงมีผู้สมัครหน้าใหม่เข้ามา จึงอยากพรีเซนต์ตัวเองให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น แม้จะยังไม่ได้หมายเลขอย่างเป็นทางการ

“การหาเสียงรูปแบบนี้ ยังคงเป็นที่นิยมอันดับ 1 โดยเฉพาะป้ายทรงสูงที่พบเห็นได้ในปัจจุบันจะยิ่งได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะไม่บดบังทัศนียภาพ  ขณะเดียวกัน ยังมีการพิมพ์คิวอาร์โค้ดไว้ เพื่อให้แสกนและเด้งไปยังหน้าที่มีข้อมูลเกี่ยวข้องกับผู้สมัครรายนั้นๆ ซึ่งจะกลายเป็นเทรนด์เทคโนโลยี ที่นำมาปรับใช้ เพื่อให้สอดคล้องกับในอนาคตที่การแข่งขันสูงขึ้น และเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างมาก” นายพงศ์ธีระ กล่าว ขณะที่ นายวิเชียร พงศธร ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และประธานกรรมการมูลนิธิเพื่อคนไทย เผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อนโยบายต่อต้านคอร์รัปชันของพรรคการเมืองและนักการเมืองไทย ในการเลือกตั้ง 2566 ว่า

ผลสำรวจตัวอย่างทั่วประเทศจำนวน 2,255 ตัวอย่าง พบว่า ความคิดเห็นประชาชนต่อนโยบายของพรรคการเมืองควรเป็นอย่างไร ส่วนใหญ่ 32% ระบุต้องการนโยบายที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมว่า จะวางแผนเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาประเทศอย่างไร ถัดมา 31% ระบุว่านโยบายต้องตรวจสอบได้ อีก 24% ระบุนโยบายควรใช้งบประมาณคุ้มค่า และ 13% นโยบายควรปฏิบัติได้จริง

ขณะที่ ปัญหาสำคัญของประเทศที่ต้องการแก้ไขมากที่สุด 3 ลำดับแรก 1.ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่น 25% 2.การศึกษา 14% 3.ลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม 13% ทั้งนี้ ส่วนใหญ่ถึง 67% มองว่า นโยบายการต่อต้านคอรัปชั่นมีผลต่อการตัดสินใจลงคะแนนเลือกตั้ง ที่ควรจะมีมาตรการชัดเจนและปฏิบัติได้จริง และกว่า 83.6% จะไม่เลือกพรรคที่ไม่มีนโยบายต่อต้านคอรัปชั่น

นอกจากนี้ นโยบายควรจะมีการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะให้ประชาชนเข้าถึงง่าย รวมทั้งรับฟังเสียงจากประชาชน สร้างการมีส่วนร่วม และสนับสนุนให้องค์กรตรวจสอบการทำงานได้ เพราะปัญหาคอรัปชั่น 3 อันดับแรกที่ส่งผลเสีย และต้องการให้รัฐบาลเร่งจัดการสูงสุด 3 อันดับ 1.ปัญหาทุจริตในระบบราชการ 2.กระบวนการยุติธรรม และ 3.เงินบริจาคแก่ศาสนา

“ตั้งแต่เริ่มองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันและผ่านการเลือกตั้ง 2 ครั้ง ปัจจุบันยังไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงและยังไม่ทุเลาลงแต่รุนแรงมากขึ้น ดังนั้น ควรออกนโยบายแก้ไขปัญหาให้ชัดเจน เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นโอกาสสำคัญในการสิทธิใช้เสียงคัดเลือกพรรคและผู้แทนที่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้” นายวิเชียร กล่าว

นายวิเชียร กล่าวว่า พรรคการเมืองควรมีบทบาทและหน้าที่ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการต่อต้านคอรัปชั่นจากการทำนโยบายชัดเจน รวมถึงบทบาทของนักการเมือง ควรปฏิบัติหน้าที่และทำตามที่สัญญากับสาธารณะ ด้วยความซื่อสัตย์ และพร้อมทำงานกับประชาชนอย่างแท้จริง โดยส่วนใหญ่ 86.2% จะไม่เลือกพรรคการเมืองที่มีใช้เงินซื้อเสียง เพราะถือเป็นการทุจริตตั้งแต่เริ่มต้น และเป็นการทำที่ผิดกฎหมาย

ขณะเดียวกัน ผลสำรวจสิ่งที่อยากให้รัฐบาลชุดใหม่ดำเนินการแก้ไขใน 5 ประเด็น 1.แก้ไขปัญหาการทุจริตคอรัปชั่น 9.8% 2.ดูแลสวัสดิการและคุณภาพชีวิตของประชาชน 7.8% 3.การเข้าถึงแหล่งเงินทุน/เงินกู้ 7.1% 4.ดูแลค่าครองชีพให้เหมาะสม 6.7% 5.ดูแลราคาพลังงาน 6.3%

คลิปอีจันแนะนำ
พนังถล่ม หลังคาปลิว ฤทธิ์พายุฤดูร้อน 66 @ขอนแก่น