สถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยยังพุ่งไม่หยุด ตามข้อมูลของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เมื่อเดือน ก.ค.66 พบคนไทยมีหนี้เฉลี่ยกว่า 5.5 แสนบาท/ครัวเรือน สูงสุดรอบ 15 ปี โดยมีหนี้เสีย หรือหนี้ไม่สร้างรายได้ เช่น หนี้ที่เกิดจากการซื้อของฟุ่มเฟือย หรือใช้จ่ายเกินตัว และไม่สามารถจัดการควบคุมได้ จนส่งผลให้เกิดหนี้สินวนเวียนเป็นวงจรจนไม่อาจแก้ไขอะไรได้
ด้าน นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Surapol Opasatien ให้ข้อมูลพร้อมแสดงความเห็นเกี่ยกับหนี้เสียไทย ว่า
08.08.2566
หนี้กำลังจะเสีย, หนี้ SM, หนี้เลี้ยงงวด
1.ตัวเลขล่าสุดของหนี้ครัวเรือนไทยที่มีการจัดเก็บในระบบฐานข้อมูลของเครดิตบูโรจากจำนวนประชากร 32 ล้านลูกหนี้ คิดเป็นเงิน 13.45ล้านล้านบาท (หนี้ครัวเรือนไทยที่รายงานอย่างเป็นทางการคือ 15.96 ล้านล้านบาท) ส่วนที่ไม่ได้จัดเก็บในระบบของเครดิตบูโรหลักๆคือ หนี้สินเชื่อสหกรณ์ออมทรัพย์, เครดิตยูเนี่ยน, กยศ.เป็นต้น
2.ตัวเลขที่แสดงใน 2 ภาพนี้คือ หนี้ที่กำลังจะเสีย, หนี้ SM, หนี้ที่กล่าวถึงเป็นพิเศษ (Special mention loan) หรือหนี้ที่มีการค้างชำระ 31-90 วันแต่ยังไม่ข้ามเส้นการค้างชำระเกิน 90 วันนะครับ
3.จากภาพที่แสดงมันบอกว่า เรามีหนี้ที่กำลังจะกลายเป็นหนี้เสีย 4.75 แสนล้านบาท มันลดลงมาจากไตรมาสที่ 1 ของปี 2566 เดือนมีนาคม ที่มีอยู่สูง 6 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตามเมื่อเราเข้าไปดูไส้ในจะพบว่า 2 แสนล้านบาทเป็นหนี้กู้ซื้อรถยนต์ 1.3 แสนล้านบาทเป็นหนี้กู้ซื้อบ้านในจำนวนนี้ 9 หมื่นล้านบาทเป็นลูกหนี้ของสถาบันการเงินของรัฐ ซึ่งก็จะสะท้อนไปที่บ้านราคาไม่แพง กลุ่มรายได้ปานกลาง, รายได้น้อย นอกจากนี้ยังมีหนี้ Ploan อีก 8.6 หมื่นล้านบาท
4.ตัวเลขหนี้กำลังจะเสียลดลงมาจากไตรมาสที่แล้วที่พุ่งไประดับ 6 แสนล้านบาทจนผู้คนตกใจและลดลงมาเป็น 4.75 แสนล้านบาท หากและถ้าเราคิดต่อว่าอัตราการไหลไปเป็นหนี้เสียหรือกลายไปเป็นหนี้ NPLs แล้วจะพบว่า จากข้อมูลที่สื่อมวลชนสอบถามในวันแถลงข่าวของ ธปท.นั้นพบว่า Migration rate ของสินเชื่อบ้านอยู่ที่ 22%, สินเชื่อรถยนต์ 12%, สินเชื่อส่วนบุคคล 54% และบัตรเครดิต 57% อัตราส่วนนี้บอกอะไรกับเราบ้าง
มันก็เป็นตัวบอกว่า หนี้เสียที่จะไหลมาจากหนี้กำลังจะเสียนั้นมันคงจะยังไม่เป็นขนาดถล่มทลาย แบบตกหน้าผากันแต่ก็อย่าลืมว่าการค้างชำระในส่วนของหนี้ที่มีหลักประกันเช่นรถยนต์, บ้านที่อยู่อาศัยนั้น เป็นอะไรที่ไม่น่าจะสบายใจนัก ประกอบกับเรายังมีเรื่องของค่าครองชีพ, ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงอีกส่วนหนึ่งที่ค่อยๆเพิ่มขึ้น แรงกดดันจากค่าใช้จ่ายตรงนี้มันจะมาเบียดรายได้ที่ไม่ค่อยจะแน่นอน มั่นคง เพียงพอที่จะรองรับการเอาไปชำระหนี้ในแต่ละเดือนได้ให้ไม่เกิดการค้างชำระได้ขนาดไหน
ผมนำตัวเลขนี้มาเสนอเพื่อให้ท่านที่สนใจได้ตระหนัก อย่าตื่นตระหนก แต่ต้องคิดให้ตก คิดให้ออก คิดให้ได้ว่า ถ้าเราเป็นลูกหนี้ที่เลี้ยงงวดการจ่ายหนี้เดือนชนเดือนแล้ว เราควรรีบเข้าไปขอคำปรึกษา ทางด่วนแก้หนี้ คลีนิคแก้หนี้ หรือโทร 1213 เพื่อขอความช่วยเหลือได้แล้วหรือยังในตอนนี้นะครับ
จากนั้นได้โพสต์อีกว่า
08.08.2566
หนี้เสีย, หนี้มีปัญหา, หนี้ NPLs, หนี้ปรับโครงสร้าง
1.ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 จากการประมวลผลจากฐานข้อมูลสถิติที่เอาตัวตนออกไปแล้วของเครดิตบูโรพบข้อเท็จจริงว่า หนี้ครัวเรือนไทยทั้งก้อนหลังการปรับปรุงข้อมูลโดยธปท. เรามีตัวเลขอยู่ที่ 15.96 ล้านล้านบาทคิดเป็น 90.6% ของ GDP ที่สะท้อนว่าเศรษฐกิจของเรามีปัญหาในเรื่องนี้
เรามีปัญหาแล้ว
เรามีปัญหาอยู่
เรามีปัญหาต่อ(อีกซักพัก)
เรายังออกจากกับดักตรงนี้ไม่ได้ในเวลานี้
2.ตัวเลขหนี้ครัวเรือนไทย 13.45 ล้านล้านบาทจัดเก็บอยู่ในระบบของเครดิตบูโรครับ ครอบคลุม 32 ล้านลูกหนี้ที่เป็นหนี้กับสถาบันการเงินไทยกว่า 135 แห่ง
หนี้เสียไปแล้วรอการแก้ไขในตอนนี้กลับมาแตะระดับ 1ล้านล้านบาทอีกครั้งในเดือนมิถุนายน 2566 ที่ระดับ 1.03 ล้านล้านบาทคิดเป็น 7.7% เมื่อไตรมาส 1 ปี 2566 มันอยู่ที่ 9.5 แสนล้านบาทครับ คำถามคือมันจะไปต่อหรือไม่ คำตอบคือมันต้องไปต่อแน่ด้วยสถานการณ์ทางเศรษฐกิจแบบยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่และทั่วถึง ประกอบกับจะมีการชักคืนมาตรการช่วยเหลือออกตามแผน แล้วกลับไปใช้มาตรการตามปกติเดิมมารองรับ ตามการคาดการณ์จะไม่ไหลมาแบบรุนแรง แต่มีโอกาสเพิ่มแน่ๆ ท่านที่สนใจพิจารณาได้จากกราฟสีแดงที่ปรากฎในภาพด้านล่างนะครับ
หนี้ตัวที่สองคือหนี้เสียที่เอาไปปรับโครงสร้าง เอาไปซ่อม เพื่อให้กลับมาเป็นหนี้ดี จ่ายได้ ตรงนี้มีจำนวน 9.8 แสนล้านบาทครับ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาที่อยู่ที่ระดับ 8แสนล้านบาท แน่นอนว่ามาจากการเร่งเข้าไปช่วยเหลือ, ช่วยปรับโครงสร้างหนี้ตามมาตรการที่ออกแบบมาโดยธปท. ทุกท่านที่สนใจดูได้จากเส้นสีดำนะครับ ดูว่ากราฟมันเชิดหัวขึ้น ถ้าปรับแล้วรอดก็เป็นหนี้ดี, ถ้าปรับแล้วทำไม่ได้ ยังจ่ายไม่ได้ก็ต้องปรับอีกหรือปล่อยไหลเป็นหนี้เสีย
3.ไส้ในของหนี้ที่เสียไปแล้วหรือหนี้ NPLs ประกอบด้วย
หนี้กู้ซื้อรถยนต์เกือบ 2 แสนล้านบาท หนี้กู้ซื้อบ้าน ที่อยู่อาศัย 1.8แสนล้านบาท หนี้ Ploan 2.5 แสนล้านบาท บัตรเครดิต 5.6 หมื่นล้านบาท หนี้เกษตร 7.2หมื่นล้านบาท เป็นต้น ที่น่าสังเกตคือหนี้กู้มาซื้อรถยนต์นั้นมันเพิ่มขึ้นจากกลางปีที่แล้ว มิถุนายน 2565 สูงถึง 18% อันนี้ต้องยอมรับว่ากลิ่นไม่ค่อยดี
แม้ว่าทุกๆคนกำลังรอกลิ่นแห่งความเจริญงอกงามทางเศรษฐกิจในอนาคตตามที่แต่ละคนวาดหวังแต่กลิ่นแห่งความเป็นจริงวันนี้และในระยะอันใกล้มันส่งผ่านตัวเลขออกมาแบบทำให้ไม่สบายใจ ไม่สบายเนื้อสบายตัวเอาเสียเลยในเวลานี้
เส้นกราฟสีเหลืองคือหนี้ที่กำลังจะเสีย หนี้กล่าวถึงเป็นพิเศษ หนี้ SM กราฟปักหัวลงจาก 6 แสนล้านบาท มาเป็น 4.75 แสนล้านบาท พระเอกยังคงเป็นหนี้กู้มาซื้อรถยนต์นะครับ 2 แสนล้านบาท หนี้เสียต้องเร่งแก้ไข
และโพสต์อีกครั้งว่า
08.08.2566
หนี้เสียเนื่องจากได้รับผลกระทบจาก covid-19
หลังจากที่ผมได้เขียนถึงหนี้เสีย, หนี้ NPLs, หนี้ปรับโครงสร้างหนี้, หนี้ TDR, หนี้กำลังจะเสียหรือหนี้ SM ไปแล้ว ได้มีผู้คนสนใจส่งคำถามมายังผมถึงเรื่องลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจาก covid-19 จนกลายเป็นหนี้เสีย ที่เราๆ ท่านๆ เรียกว่าหนี้เสียรหัส 21 นั้นว่า ณ มิถุนายน 2566 นั้นเป็นอย่างไร
จากภาพข้อมูลที่นำเสนอด้านล่างจะเห็นว่า จากหนี้เสีย, หนี้ NPLs ทั้งหมด 1.03 ล้านล้านบาทนั้น เป็นหนี้เสียรหัส 21 มีจำนวน 3.7 แสนล้านบาท คิดเป็นจำนวนรายลูกหนี้ 3.4 ล้านคน ข้อสังเกตที่สำคัญคือ จากไตรมาสที่ 1 ปี 2566 หรือเมื่อสามเดือนก่อนตัวเลขมันอยู่ที่ 3.1 แสนล้านบาท การเพิ่มของจำนวนเงินและจำนวนรายทั้งๆ ที่มีการเร่งปรับโครงสร้างหนี้ตามมาตรการแบบมุ่งเป้าอย่างเต็มกำลัง
สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแรงของความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้กลุ่มนี้ที่ชัดเจน คำถามคือในระยะเวลาที่เหลือก่อนชักเอามาตรการปรับโครงสร้างหนี้ระยะยาวหรือมาตรการฟ้าส้มออกไปในปลายปี ธันวาคม 2566 นี้ จะส่งผลให้เกิดความอืด, ความหนืดในการเร่งจัดการหนี้เสียเป็นหนี้ดีตามที่มุ่งหวังหรือไม่
ผมได้แต่ภาวนาให้ลูกหนี้เกรดดีๆในช่วงก่อนโควิดเหล่านี้ได้มีโอกาสกลับมาเป็นหนี้ดีได้อีกครั้ง และหากจะมีมาตรการที่ชัดเจน ถูกฝาถูกตัวออกมาสำหรับกลุ่มนี้เพิ่มเติม ไม่ตัดออกก็จะเป็นกุศลสำหรับเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างยิ่ง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
วัยรุ่นสร้างตัว ผ่อนบ้านต่อไม่ไหว ปีเดียวปล่อยยึดร่วม 200,000 ล้านบาทอึ้ง! ผลสำรวจครึ่งแรกปี 66 คนไทยมีใช้แบบเดือนชนเดือน หมดกับค่ารถมากสุด