ราคาน้ำมัน วันนี้ (7 พ.ย.66) กลุ่มเบนซิน ลงแร๊งง 0.80-2.50 บาทต่อลิตร

เช็กด่วน! ราคาน้ำมัน วันนี้ (7 พ.ย.66) ขายปลีก น้ำมันเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ ลงแร๊งง 0.80-2.50 บาทต่อลิตร ส่วนดีเซลคงเดิม

เมื่อเวลา 00.00 น.วันนี้ (7 พ.ย.66) PTT Station และ บางจาก ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ GSH91 ลดลง 2.50 บาทต่อลิตร ULG95 GSH95 และพรีเมี่ยม GSH95 ลดลง 1 บาทต่อลิตร E20 และ E85 ลดลง 0.80 บาทต่อลิตร ส่วน Premium ดีเซล และกลุ่มดีเซลคงเดิม

โดยราคาขายปลีกจะเป็น ดังนี้ ULG = 45.04, GSH95 = 37.25, E20 = 35.14, GSH91 = 35.48, E85 = 35.29, พรีเมี่ยม GSH95 = 44.04, HSD-B7 = 29.94, HSD-B10 = 29.94, พรีเมี่ยมดีเซล B7 = 41.54 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกข้างต้นยังไม่รวมภาษีบำรุงกรุงเทพมหานคร

โดยการลดราคาดังกล่าวมาจากการลดอัตราภาษีสรรพสามิตสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันประเภทน้ำมันเบนซินลง 0.15-1 บาทต่อลิตร ตามสัดส่วนเนื้อน้ำมันเบนซินที่ผสมและใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอุดหนุนเพิ่มเติมทำให้ราคากลุ่มเบนซินลดทั้งสิ้น 0.80-2.50 บาทต่อลิตร

ขณะที่ บทวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันประจำสัปดาห์ โดย บมจ.ไทยออยล์: ฉบับวันที่ 6 พ.ย.66 ระบุว่า ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มทรงตัว หลังตลาดคาดอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นใกล้สิ้นสุด ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่สงบเริ่มคลี่คลายลง คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 78-85 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 81-88 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ (6-10 พ.ย.66)

ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มทรงตัว เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นเริ่มลดลง โดยตลาดมองว่า FED จะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้าและอาจจะเริ่มทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า นอกจากนี้ ราคายังได้รับแรงสนับสนุนจากปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะปรับลดลง

อย่างไรก็ตาม ราคาคาดจะเริ่มปรับลดลง หลังสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสมีแนวโน้มดีขึ้น หลังเริ่มมีการเจรจาปล่อยตัวประกัน ทั้งนี้ ตลาดยังคงจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและกังวลว่าอิสราเอลจะยังมีการใช้กองกำลังทางทหาร ซึ่งอาจจะส่งผลให้ราคามีการปรับเพิ่มขึ้นอีกครั้งได้

ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้

1.สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส มีแนวโน้มดีขึ้นแต่ยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนสูง โดยความคืบหน้าล่าสุด กลุ่มฮามาสเริ่มปล่อยตัวประกันชาวต่างชาติเป็นครั้งที่สองผ่านทางอียิปต์ หลังกาตาร์เข้ามาช่วยเจรจา

ประกอบกับหลายประเทศได้ออกมาเรียกร้องให้มีการใช้การเจรจาแทนที่จะมีการใช้กองกำลังทางทหารเพื่อหาข้อสรุป โดยตลาดยังคงจับตาดูว่าอิสราเอลจะยังคงเดินหน้าใช้กองกำลังทางทหารเข้าโจมตีกลุ่มฮามาสหรือไม่ ถ้าหากยังเดินหน้าต่อเนื่อง อาจจะส่งผลให้สถานการณ์ความรุนแรงกลับมาประทุขึ้นอีกครั้งได้

2.ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนค่าลงและช่วยสนับสนุนต่อราคาน้ำมันดิบ หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือน พ.ย. 66 ที่ระดับ 5.25-5.50% ซึ่งถือเป็นครั้งที่สองที่คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม

หลังอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าระดับเป้าหมาย โดยตลาดเริ่มประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นใกล้จะสิ้นสุดแล้ว ส่งผลให้ตลาดคาดในการประชุมครั้งถัดไป FED จะอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมและเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในกลางปีหน้า

3.ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับลดลงหลังปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในสัปดาห์ก่อนหน้า เนื่องจากโรงกลั่นในสหรัฐฯ จะกลับมาจากการปิดซ่อมบำรุงและเพิ่มกำลังการกลั่นขึ้นเพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำมันเพื่อทำความร้อนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) รายงานปริมาณการกลั่นสำหรับสัปดาห์ สิ้นสุด ณ วันที่ 27 ต.ค.66 อยู่ที่ราว 15.21 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากสัปดาห์ก่อนหน้า

4.เศรษฐกิจจีนในเดือน ต.ค.66 ยังคงชะลอตัวลงต่อเนื่อง ทั้งในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ หลังการใช้จ่ายของผู้บริโภคยังคงไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากนัก ขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงชะลอตัวลง โดยดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (Manufacturing PMI) ในเดือน ต.ค.66 ปรับลดลงต่ำกว่าระดับ 50 อีกครั้งมาอยู่ที่ระดับ 49.5 ขณะที่ดัชนีผลผลิตภาคบริการปรับลดลงมาแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ธ.ค.65 ที่ระดับ 50.6 ซึ่งปัจจัยดังกล่าวคาดจะส่งผลต่อความต้องการใช้น้ำมันของจีน

5.ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มโอเปกมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น จากการเพิ่มขึ้นของไนจีเรียและเวเนซุเอลา ซึ่งทั้งสองประเทศได้รับยกเว้นในการปรับลดกำลังการผลิต โดยไนจีเรียเริ่มกลับมาเปิดดำเนินการแหล่งผลิตที่มีการปิดไปก่อนหน้านี้ เนื่องจากมีการซ่อมแซมท่อขนส่งที่ได้รับความเสียหายแล้ว

ขณะที่ การผลิตน้ำมันดิบในเวเนซุเอลามีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังสหรัฐฯ ประกาศยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเป็นการชั่วคราวเป็นระยะเวลา 6 เดือนจนถึง 18 เม.ย. 67 โดยปริมาณการผลิตของกลุ่มโอเปกในเดือน ต.ค.66 ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องกว่า 3 เดือนติดต่อกัน มาอยู่ที่ราว 27.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน

6.เศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ คือ ตัวเลขเศรษฐกิจของยูโรโซนได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิตและผู้บริโภค เดือน ก.ย.66 และยอดค้าปลีกเดือน ก.ย.66 ตัวเลขเศรษฐกิจของจีน ได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิตและผู้บริโภคเดือน ต.ค.66 และปริมาณการนำเข้าและส่งออกเดือน ต.ค.66

คลิปอีจันแนะนำ
ผู้เชี่ยวชาญ เตือน! ปีนี้ไม่หนาว ปีหน้าแล้งจัด