ราคาน้ำมันวันนี้ ‘เบนซิน’ ขึ้น 40 สต. มีผลเช้ามืดพรุงนี้ (11 ต.ค.66)

ข่าวร้ายชาวเบนซิน! เช้ามืด พรุ่งนี้ (11 ต.ค.66) ราคาน้ำมัน ‘เบนซิน-แก๊สโซฮอล์’ ปรับขึ้น 40 สต. ส่วน ‘ดีเซล’ ยังราคาเดิม

ตั้งแต่ย่างเดือน ต.ค.66 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ทุกชนิด ปรับลดลงแล้ว 1.70 บาทต่อลิตร แต่ล่าสุดมีข่าวร้าย โดย PTT Station แจ้งปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ทุกชนิดขึ้น 40 สตางค์ต่อลิตร พรีเมี่ยม GSH95 และ Premium ดีเซล เพิ่มขึ้น 40 สตางค์ต่อลิตร เว้นกลุ่มดีเซลคงเดิม มีผล 11 ต.ค.66 เวลา 05.00 น. เป็นต้นไป

โดยราคาขายปลีกจะเป็นดังนี้ ULG = 45.94, GSH95 = 38.15, E20 = 35.84, GSH91 = 37.88, E85 = 35.99, พรีเมี่ยม GSH95 = 44.34, HSD-B7 = 29.94, HSD-B10 = 29.94, พรีเมี่ยมดีเซล B7 = 40.84 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกข้างต้นยังไม่รวมภาษีบำรุงกรุงเทพมหานคร

ฟาก ‘ปั๊มบางจาก’ แจ้งปรับราคาน้ำมันกลุ่มแก๊สโซฮอล์ทุกชนิด ขึ้น 40 สตางค์ต่อลิตร และ Hi Premium Diesel S B7 ขึ้น 60 สตางค์ต่อลิตร สำหรับผลิตภัณฑ์อื่นราคาคงเดิม 

BCP Retail Price : GSH95S EVO 38.15/ GSH91S EVO 37.88/ GSH E20S EVO 35.84 / GSH E85S EVO 35.99 / Hi Premium 97 (GSH95++) 48.84/ Hi Diesel B20S 29.94/ Hi Diesel S 29.94 / Hi Diesel S B7 29.94 / Hi Premium Diesel S B7 42.94 (ราคาดังกล่าวยังไม่รวมภาษีบำรุงท้องที่กทม.)

ขณะที่ บทวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันประจำสัปดาห์ โดย บมจ.ไทยออยล์: ฉบับวันที่ 9 ต.ค.66 ระบุว่า แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ (9-13 ต.ค.66) ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มลดลงเนื่องจากอุปทานน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยอุปทานน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับเพิ่มในภูมิภาคแอฟริกาและอเมริกาใต้ นอกจากนี้ การเตรียมกลับมาส่งออกน้ำมันดิบของท่อ Kirkuk-Ceyhan จะช่วยผ่อนคลายความกังวลต่ออุปทานน้ำมันดิบตึงตัว

อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงได้รับแรงสนับสนุนจากมุมมองของธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขาแอตแลนตาและรัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ ซึ่งชี้ว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง ขณะที่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของจีน ส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างชัดเจนในเดือน ก.ย.66

ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้

1.อุปทานน้ำมันดิบในภูมิภาคแอฟริกามีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น หลังรายงาน FGE เผยว่าการส่งออกน้ำมันดิบของไนจีเรียจะปรับขึ้นสู่ระดับ 1.29 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในเดือน พ.ย. ซึ่งถือเป็นระดับสูงที่สุดในรอบปี ภายหลังการส่งออกน้ำมันดิบ Forcados

มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ การส่งออกน้ำมันดิบจากแองโกลา ในเดือน พ.ย. มีแนวโน้มปรับขึ้นเช่นเดียวกัน โดย FGE คาดว่าการส่งออกจะปรับเพิ่มขึ้นราว 0.06 ล้านบาร์เรลต่อวัน มาอยู่ที่ระดับ 1.11 ล้านบาร์เรลต่อวัน

2.อุปทานน้ำมันดิบในภูมิภาคอื่นมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน โดยรายงาน FGE ฉบับล่าสุดคาดการณ์ว่าอุปทานน้ำมันดิบจากกายอานา มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น 0.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในเดือน พ.ย. หลังโครงการ Payara Gold เริ่มเปิดดำเนินการ

ขณะที่การผลิตน้ำมันดิบของคาซัคสถานปรับเพิ่มขึ้น 0.14 ล้านบาร์เรลต่อวัน เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 1.56 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในเดือน ก.ย. ภายหลังแหล่งขุดเจาะน้ำมันดิบ Tengiz สิ้นสุดการซ่อมบำรุงและกลับมาดำเนินการตามปกติ

3.การส่งออกน้ำมันของอิรักจากท่อ Kirkuk-Ceyhan ซึ่งมีกำลังขนส่งน้ำมันดิบราว 450,000 บาร์เรลต่อวัน จากแหล่งน้ำมัน Kirkuk ในเขตปกครองตนเองเคอร์ดิสถานมายังท่าเรือ Ceyhan ซึ่งถูกระงับนับตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค ที่ผ่านมา

หลังศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศตัดสินให้ตุรกีจ่ายค่าชดเชยให้กับอิรัก ใกล้ที่จะกลับมาดำเนินการอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะทำให้อิรักส่งออกน้ำมันดิบได้เพิ่มขึ้นและส่งผลให้อุปทานน้ำมันดิบมีแนวโน้มตึงตัวน้อยลง

4.ธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขาแอตแลนตา คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของสหรัฐในไตรมาสที่ 3/2566 จะเติบโตที่ระดับ 4.9% ซึ่งสูงกว่าไตรมาสที่ 1 และ 2 ของปีนี้ ซึ่งมีการขยายตัวที่ระดับ 2.0 และ 2.1% ตามลำดับ นอกจากนี้เฟดยังคงคาดการณ์ว่าจีดีพีของสหรัฐฯ ในปี 2566 จะเติบโตที่ระดับ 2.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

การคาดการณ์ดังกล่าวสอดคล้องกับทัศนะของนางเยแน๊ต เยเลน รัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ ซึ่งกล่าวในที่ประชุม Fortune CEO ในวันที่ 3 ต.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง ภายหลังอัตราเงินเฟ้อยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง

5.เศรษฐกิจจีนยังคงมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ภายหลังสำนักงานสถิติแห่งชาติ (NBS) เปิดเผยว่าดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (PM) ในเดือน ก.ย. อยู่ที่ระดับ 50.2 สูงกว่าเดือนกว่าก่อนหน้าที่ระดับ 49.7 และถือเป็นการขยายตัวครั้งแรกในรอบ 6 เดือน ขณะที่รายงานเดือน ต.ค. ของธนาคารโลกคาดการณ์ว่า

เศรษฐกิจของประเทศกลุ่มกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก (Asia-Pacific region) จะเติบโตที่ระดับ 5% ในปีนี้ ต่ำกว่าคาดการณ์ครั้งก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ระดับ 5.1% นอกจากนี้ รายงานดังกล่าวยังคาดการณ์ว่า การเติบโตของเศรษฐกิจจีน ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับที่ 2 ของโลก จะเติบโตที่ระดับ 5.1% ซึ่งเท่ากับคาดการณ์ครั้งก่อนหน้าและสูงกว่าเป้าหมายของรัฐบาลจีนที่ระดับ 5.0%

6.เศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ คือ ดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐฯ เดือน ก.ย. และตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญของจีนเดือน ก.ย. ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค, ตัวเลขการนำเข้าและส่งออก และดัชนีราคาผู้ผลิต

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

ราคาน้ำมันดิบโลก เดือน ก.ย.66 สูงสุดรอบ 9 เดือน จับตาสงครามทำพุ่งอีกสงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์ กระทรวงพลังงาน ยัน ไม่กระทบไทยนำเข้าน้ำมันราคาน้ำมันวันนี้ ‘เบนซิน’ ลง 50 สต. มีผลเช้ามืดพรุงนี้ (7 ต.ค.66)