ย้อนฟังเสียงระส่ำ เจ้าของอาบอบนวด ที่ต้องกรีดเลือดควักเนื้อ แลกทางรอด

คำตอบที่ชัดเเละดังที่สุด ทำไมธุรกิจอาบอบนวด ทยอยปิด? ย้อนฟังเสียงระส่ำ ของเจ้าของอาบอบนวด ที่ต้องกรีดเลือดควักเนื้อ แลกทางรอด

หลังจากเกิดกระเเสไวรัล อาบอบนวดชื่อดัง ย่านปิ่นเกล้า โพสต์ขายกิจการโดยระบุว่า ธุรกิจมี income ทุกวัน กำไร 3-6m /เดือน ธุรกิจถูกกฎหมายทุกอย่าง รองรับทุกกลุ่มทุน มีทีมงานบริหารเดิมพร้อมดูแล หรือถ้าไม่อยากบริหารเอง เรามีผู้พร้อมเช่าบริหาร 2m/เดือน ในราคา 470 ล้านบ้าน พร้อมระบุเหตุผล ที่จะขายว่า เพราะเจ้าของอายุเยอะเเล้ว เเละราคาที่สูง ส่วนหนึ่งมาจากใบอนุญาตการเปิดสถานที่

แต่โซเชียลกับต่างเห็นต่างว่าเหตุผลที่ประกาศขาย เพราะทนพิษโควิดไม่ไหว ซึ่งล่าสุดทางวาเลนไทน์ ก็เเง้มมาว่า ตอนนี้มีคนติดต่อมาสอบถามรายละเอียดเเล้ว ซึ่งวันนี้จันจะพามาย้อนหัวใจเจ็บๆ ของเจ้าของธุรกิจเดียวกัน ว่าความชอกช้ำที่เจอ 2 ปีที่ผ่านมา เป็นยังไง

อาบอบนวด ธุรกิจสีเทา ที่ใครๆ ขนานนามให้เขา ก็ไม่พ้น เพราะธุรกิจนี้โดนสั่งปิดเป็นกลุ่มแรกๆ เรียกได้ว่าเจ็บแบบจังๆ แน่นอนเมื่อพวกเขาต่างประสบปัญหาที่ทำให้ชีวิตสาหัส จันก็เข้าไปสอบถามความทุกข์พวกเขาทันที และได้พูดคุยกับ พี่เบน เจ้าของกิจการอาบอบนวดชื่อดัง ย่านรัชดา ทันทีที่จันเข้าถึง อาบอบนวด สถานที่สราญรมย์ ของใครหลายๆคน วันนี้เงียบฉี่ นี่หรือสถานบันเทิงชื่อดัง ที่หนุ่มๆ ใฝ่หา

วันนี้มีเพียงพนักงานไม่มีคนที่นั่งอยู่ จันตรงปรี่ถามพนักงาน ถามหาเจ้าของเพื่อพูดคุย พนักงานชี้ไปที่ เจ้าของ พร้อมกับบอกว่าเขากำลังปิ้งหมูสะเต๊ะอยู่ด้านหน้าร้าน จันจึงไม่รอช้า รีบตรงไปหาเจ้าของร้านทันที และได้พูดคุยกับ พี่เบน ซึ่งเป็นเจ้าของอาบอบนวดที่นี่ และทราบว่าอาบอบนวด ถูกสั่งให้ปิดไปตั้งแต่ วันที่ 29 ธ.ค.2563 และเรื่อยมา จนไม่มีวี่แววว่าจะเปิด อาบอบนวดแห่งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งแห่งที่ได้รับความนิยมในกลุ่มคนชอบความเริงรมย์ทั้งไทยและต่างชาติ ในร้านมีพนักงานเกือบ 200 ชีวิต แต่เมื่อมาเจอพิษโควิด ธุรกิจที่เคยมีรายได้สะพัดหลักล้านต่อเดือน กลับตาลปัตร ไม่มีรายรับสักบาทเดียว พนักงานในร้านเคว้งหาทางไปต่อไม่ถูก

จากรายได้หลักล้าน ตอนนี้ต้องพยุงค่าใช้จ่ายและค่าเยียวยาพนักงานหลักล้านเช่นกัน พี่เบน เข้าของร้านร่ายยาวบอกความรู้สึกกับจันว่า

“อาบอบนวด เป็นธุรกิจที่เจ็บจังๆจากโควิด แม้ไม่มีใครติดเชื้อจากอาบอบนวด แต่เราเข้าใจเพราะมันเป็นสถานบันเทิง วันนี้ถามว่าสาหัสไหม มันสาหัสมานานแล้ว ตั้งแต่รอบแรก เพราะฐานลูกค้าของเราเป็นคนต่างชาติ แต่พอไม่มีลูกค้าต่างชาติ ทุกอย่างกลายเป็นศูนย์ พอมาเปิดหลังรอบแรกชา ก็ต้องอาศัยลูกค้าคนไทย แต่ก็ไม่ค่อยมีใครกล้าเที่ยว เพราะเงินไม่มี แถมคนยังกลัวติดโควิด พอมาเจอรอบนี้อีกเจ็บหนักกว่าเก่า ตอนนี้ พนักงานทยอยกลับบ้าน เพราะไม่มีเงินดำเนินชีวิต บางคนก็อยู่กรุงเทพฯ แต่ถูกยึดห้อง ไม่มีค่าเช่า ก็ให้มาอาศัยที่ร้านอยู่ ให้ช่วยแค่ค่าน้ำค่าไฟ ไม่เก็บค่าเช่าเขา ตอนนี้เกือบ 10 ชีวิตแล้วที่มาขออยู่ และน่าจะมีมาอีกเรื่อยๆ ถ้าผมมีเงินผมก็พอช่วยไปบ้าง ค่าอยู่เขา ค่าส่งให้ทางบ้าน แต่เราก็ต้องกันเงินไว้ใช้จ่ายตัวเองบ้างเพราะค่าเช่าแต่ละเดือนก็หลักล้านเหมือนกัน”

พี่เบน เจ้าของอาบอบนวด

ซึ่งตอนนี้พี่เบน ก็หันมาขายหมูสะเต๊ะ ได้กำไรวันละ 1,000-2,000 บาท ก็พอเป็นค่าอาหารเป็นค่าช่วยเหลือลูกน้องบ้าง ให้ลูกน้องเข็นไปขาย ตัวเองก็เป็นทุนให้ เตรียมของไปขายให้ จันจึงถามต่อว่าหากเป็นแบบนี้ เราต้องจ่ายค่าเช่าไปแบบนี้ทุกเดือน มองอนาคตว่ายัง ไงบ้างคำตอบที่สุดเจ็บปวดก็คือ

“ถ้าผมหมดมันก็คงต้องยอมรับชะตากรรมแหละ จะต้องขอทานเพื่อให้มีชีวิตรอดผมก็ต้องทำ”

พี่เบน เจ้าของอาบอบนวด

ทำให้จันรู้ว่าไม่ว่าจะอาชีพไหนตอนนี้ต่างสาหัส และเจ็บไม่แพ้กัน สิ่งที่ทุกคนทำได้ตอนนี้คือ ภาวนาให้วิกฤตมันกลับมาเป็นปกติสุขที่สุด เพราะกำลังที่ใช้สู้มันเริ่มถดถอยลงเรื่อยๆแล้ว เเม้ตอนนี้ประเทศจะเปิด เเต่ก็ยังวางใจไม่ได้ เพราะสถานการณ์ตอนนี้ ยังต้องลุ้นกันวันต่อวัน

คลิปอีจันแนะนำ
จากความเหลื่อมล้ำ…สู่การสร้างอาชีพ