เปิดใจ บอส นาดาว จากคนเขียนบท สู่ ผู้กำกับ

อีจันอยากเจอ นฤเบส กูโน หรือ บอส นาดาว จากคนเขียนบท สู่ ผู้กำกับหนัง กำกับคนดู จนโดนโทรขู่จะเผานาดาว!

สานต่อความฝัน จากคนเขียนบท สู่ ผู้กำกับซีรีส์ดัง

อีจันอยากเจอ พาทำความรู้จักกับ “นฤเบส กูโน” หรือ “บอส นาดาว” ผู้ที่กำกับ ที่เริ่มต้นมาจาก คนเขียนบท

บอสเล่าว่า จุดเริ่มต้น เริ่มจาก เมื่อตอนยังเป็นเด็ก บ้านที่หาดใหญ่ เปิดร้านเช่าวิดีโอ ได้ดูหนังหลายประเภทอยู่บ่อยๆ จึงเริ่มซึมซับความชอบเกี่ยวกับหนัง ความบันเทิง มาโดยไม่รู้ตัว แม้กระทั่งการนำเสนองานหน้าชั้นเรียน เขาก็เริ่มใช้เรื่องราว ดึงเพื่อนในกลุ่มมาเป็นตัวละคร แสดงละครประกอบการนำเสนองาน ซึ่งเขาชอบที่จะทำงานเบื้องหลัง ความชอบเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งได้กำกับละครเวที ในช่วงที่เรียนคณะนิเทศศาสตร์ สิ่งเหล่านี้อยู่ในชีวิตของเขาอยู่ตลอดเวลา

เมื่อเข้าสู่การเป็นคนเขียนบท เรื่องแรกที่เขียนเป็นซีรีส์ที่โด่งดังมากในตอนนั้น คือ ฮอร์โมนวัยว้าวุ่น บอสเล่าว่า มันคือสิ่งที่วาดฝันไว้ตั้งแต่เด็ก เมื่อสามารถทำให้มันเป็นเรื่องจริงได้ บอสจึงอยากลองทำหลายๆ อย่าง เปิดประสบการณ์ไปเรื่อยๆ

เขาเริ่มจากคนเขียนบทก่อน และได้ช่วยกำกับเล็กๆ จนก้าวเข้าสู่การกำกับเรื่องแรก “side by side พี่น้องลูกขนไก่”

บอส บอกกับอีจันว่า งานทุกอย่างต้องใส่ใจรายละเอียด นี่คือจุดมัดใจคนดู ต้องลงพื้นที่จริง เพื่อหาข้อมูล ทั้งเรื่องเสื้อผ้า หน้า ผม สถานการณ์ต่างๆ เพราะผลตอบรับคือความเชื่อของคน ฉะนั้น การทำงานอะไรสักอย่าง ที่ข้อมูลถูกต้อง สมจริง และหาข้อมูลเยอะ มันคุ้มค่ากับผลที่ได้

การทำซีรีส์ บอสบอกกับอีจันว่า เราต้องอินด้วย ตอนเขียนบท คนในทีมจะเหมือนแสดงสดกันตลอดเวลา ช่วยกันคัดบทที่เสี่ยง เรื่องแรกที่กำกับ ตัวละครเอก เป็นออทิสติก บอสเล่าว่าตอนนั้นต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้เยอะมาก และศึกษาเกี่ยวกับกีฬาแบดมินตัน กีฬาที่ซีรีส์ต้องนำเสนอ เพื่อความสมจริง แต่เมื่อมันมีปัญหา หรือประเด็นที่เกิดขึ้น หลังจากออกอากาศไป ผลตอบรับเป็นอย่างไรบ้าง มันทำให้ทีมต้องให้ความสำคัญมากขึ้น

เมื่อคนเขียนบทอิน คนดูก็จะอินตาม กำกับซีรีส์ไม่พอ ต้องกำกับคนดูด้วย ศึกษากลุ่มเป้าหมาย บอสตั้งโจทย์ในการทำงาน ต้องการให้คนดูรู้สึกอย่างใรในตอนไหน จุดไหนเป็นจุดที่คนดูต้องปิดโทรศัพท์ไปเลย จะสำเร็จหรือเปล่าไม่รู้ แต่ต้องวางแผนไว้ก่อน ทุกอย่างที่ทำได้

ช่วงที่ซีรีส์เรื่อง “รักฉุดใจนายฉุกเฉิน” ออกอากาศไป มีตัวละครซัพพอร์ต คู่เต่ากับทิวเขา แสดงโดน บิ้วกิ้นกับพีพี ซึ่งเป็นกระแสมาก ตอนที่ตัวละครเต่าเสียชีวิต บอสเล่าว่า คนดูอินหนักมาก ถึงขั้นโทรขู่จะเผานาดาว และเรียกร้องให้รับผิดชอบที่ทำให้ผิดหวัง นั่นจึงเป็นจุดที่ทำให้กิดซีรีส์วายเรื่อง “แปลรักฉันด้วยใจเธอ” ต่อไปได้ทันที

เรื่องของ วัฒนธรรมไทย กับ ซีรีส์วาย บอส เปิดใจกับอีจันว่าความสัมพันธ์เด็กผู้ชาย 2 แม้ในตลาดหนัง มันมีหลายเรื่อง เราก็แค่คิดเรื่องที่เราอิน แล้วเล่าไปตามซีรีส์ทั่วไป ถึงเป็นเรื่องของเด็กผู้ชาย มันก็เป็นความรักรูปแบบหนึ่ง ต่อให้เราเปลี่ยนพล็อตเรื่อง เป็นความรักของชาย-หญิง มันก็เป็นแค่พล็อตเรื่องอยู่ดี

ฉะนั้น ก็ทำไปตามที่เราอิน โดยที่ไม่ได้กดดันหรือไม่ต้องทำอะไรให้มันพิเศษ เป็นแค่เรื่องๆ หนึ่งที่เราอยากเล่า

ความเครียด เหนื่อย ท้อ เกิดขึ้นกับทุกเรื่องที่ทำ และการเหนื่อยระหว่างทาง บอสบอกว่า การเจอปัญหาที่ยากเหนือความคาดหมาย ในระหว่างที่กำลังทำ บทที่ร้องไห้มีมากจนทีมงานและนักแสดงไม่ไหว ซึ่งบอสเองเป็นคนเขียนบท ก็มันจะตัดพ้อกับตัวเองว่าทำไมต้องทำให้ยากขนาดนี้ แต่ทุกครั้งที่ท้อ ก็บอกกับตัวเองและทุกคนเสมอ ว่า “เดี๋ยวมันจะผ่านไป”

“มันเหมือนกำลังใจเล็กๆ น้อยๆ คนที่คอยสนับสนุน คนที่เห็นความสำเร็จ เห็นเป้าหมายเดียวกัน มันสำคัญมาก ที่ทำให้ความท้อมันผ่านไปได้”

ถ้าเวลายังไม่หมด อย่าหยุดทำ!

“มันเป็นคำพี่ย้ง ที่บอกพี่ไปทำ แล้วอินเอง พี่ย้งบอกว่า ถ้าเวลามันไม่หมด อย่าหยุดทำ อย่าหยุดให้มันดีเท่านี้ เวลาที่มันมีอยู่ ทำให้มันดีขึ้นได้เรื่อยๆ ทุกครั้งที่พี่ยังมีเวลาอยู่ พี่ก็จะพยายามคิดเสมอว่า ทำยังไงให้มันได้อีกแบบ”

แม้วันนี้ ซีรีส์ทุกเรื่อง จะประสบความสำเร็จ แต่บอสยังคิดว่า ความฝัน มันยังไปได้อีก

“ความฝันตอนแรก พี่ฝันว่าพี่อยากเป็นผู้กำกับ ในวันที่พี่ได้กำกับเรื่องแรก มันเหมือนฝันเราเป็นจริงเลย ได้เล่าเรื่องที่เราอยากเล่า แต่พอเสร็จปุ๊บ เรามีความฝันใหม่ เราอยากเล่าเรื่องอื่นอีก มันเหมือนความฝันใหม่เราผุดขึ้นมา แล้วเราก็มีแรงผลักดันในการเล่าเรื่องอื่นต่อ เราก็เลยยังไม่รู้ว่า ความสำเร็จของเรามันหยุดอยู่ตรงไหน มันยังไปได้เรื่อยๆ”