ซานิ เผยเรื่องราวชีวิตและความรักที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

ซานิ นิภาภรณ์ เผยเรื่องราวเกือบแตะเส้นตายหลังถูกบลูลี่หนัก หลังประกวด AF พร้อมให้สัมภาษณ์เส้นทางความรักที่ผ่านมา

อีกหนึ่งนักร้องสาวสวยเสียงดี ซานิ นิภาภรณ์ ฐิติธนการ หรือ ซานิ AF6 ที่เรียกได้ว่าอยู่ในวงการบันเทิงมาอย่างยาวนาน ล่าสุดได้ออกมาเปิดใจผ่านรายการ Club Friday Show เผยเรื่องราวเส้นทางชีวิตที่ไม่ได้โรยด้วยกรีบกุหลาบ พร้อมเผยเรื่องราวความรักไม่จำกัดเพศของตนเอง

โดยพิธีกรดำเนินรายการก็ได้ถาม ย้อนกลับไปก่อนที่จะมาประกวด AF ชีวิตของ ซานิ เป็นอย่างไรบ้าง ซานิ เผย “ตอนนั้นหนูเรียนด้วยทำงานด้วยเป็นวีเจของเคเบิลรายการหนึ่งด้วยค่ะ แล้วก็เล่นผับด้วยตอนกลางคืน 5 ร้านต่อคืนค่ะ จบที่ประมาณตีสาม ตีสี่ หนูร้องทุกวัน 7 วันเลยค่ะ แล้วตอนเช้าจะเริ่มทำวีเจของเคเบิลประมาณ 7 โมงเช้าค่ะ เราก็จะนอนน้อยค่ะ เพราะเราต้องตื่นตีห้า หรือเลตที่สุดเลย 6 โมงเช้าหนูก็จะออกจากบ้านแล้ว

และได้ให้เหตุผลที่ต้องทำงานหนักขนาดนี้ก็คือ “เพราะความจนค่ะ เพราะเราต้องการแบ่งเบาภาระของพ่อกับแม่เพราะหนูรู้สึกว่า ณ ตอนนั้นครอบครัวเราก็ไม่ได้มีเท่าคนอื่น แล้วมันเหมือนเป็นโอกาสแล้วหนูรู้สึกว่าเมื่อได้โอกาสในการทำงานมาหนูจะทำให้เต็มที่ ตอนนั้นที่ทำงานหนูได้เงินต่อเดือนรวมทริปนะคะ 70,000 บาท ตอนนั้นที่ได้ก็ประมาณ 11-12 ปีที่แล้ว “

ซึ่งเส้นทางที่การก้าวเข้ามาอยู่ AF นั้น ซานิ ก็ได้เผยว่า ”เพราะว่าเพื่อนท้าค่ะ เพราะเขาเห็นว่าวงอื่นที่ร้องเพลงเหมือนเราเขาไปลงสมัครหมดแล้ว เพื่อนก็ถามเราว่าเรากลัวอะไร เราก็บอกว่าไม่กลัว เพราะตอนนั้นเรารู้สึกว่าเงินเดือนเราโอเคแล้วเราจะไปทำไม สุดท้ายแล้วเราก็ไปแล้วก็เข้ามารอบออดิชั่น แล้วก็ได้เข้ารอบมาเรื่อยๆ แล้วต้องบอกเลยว่าหนูไม่คิดเลยว่าหนูจะชนะ ซึ่งก่อนจะเข้าบ้านเรานั่งทานข้าวกับแม่เราน้ำตาไหลเลย แล้วแม่ก็พูดคำแรกเลยว่า..ทำไงดีแม่ไม่มีเงินโหวต หนูบอกแม่เลยว่าไม่เป็นไรเลยไม่ต้องซีเรียสเลยเพราะเดี๋ยวก็ออกมาแล้ว หนูได้เข้ามาตรงนี้ ได้เข้ามาเรียนอาทิตย์หนึ่งหนูก็ดีใจแล้วเพราะยังไงถ้าหนูออกมาก็กลับไปทำงานเหมือนเดิมเพราะเพื่อนยังรอ แม่ก็โอเค แต่พอเราเข้าไปเราก็ภูมิใจนะคะ ภูมิใจที่เราทำได้”

ภายนอกของ ซานิ นั้นดูเหมือนจะเป็นคนที่ห้าวแกร่ง แต่จริงๆแล้วเป็นคนที่อ่อนไหวและอ่อนแอถึงขั้นแตะเส้นตายมาแล้ว โดยที่คุณแม่ไม่เคยรู้มาก่อน

ซึ่งสาว ซานิ ก็ได้เผยเหตุผลเพราะว่า

”เป็นช่วงหลังจาก AF เลยค่ะ เพราะต้องบอกก่อนว่าช่วงที่เราเข้าแข่งขันอยู่ในบ้านคือเราไม่รู้เรื่องของโซเชียลเลยเราจะไม่รู้เลยว่าคนคิดกับเราอย่างไร แต่ ณ วันที่เราได้รางวัลแล้วเราออกมาปุ๊บ แล้วเราก็เปิดดูเว๊ป เด็กดี , พันธ์ทิพย์ เพราะในยุคนั้นยังแรงอยู่เราก็ไปเปิดอ่านแต่ทุกคนก็บอกเราว่าอย่าเปิดอ่านนะ แต่ยิ่งบอกว่าอย่าเรายิ่งทำหนูก็ไปเปิดดูคำพูดแต่ละคำคือแบบ bully หน้าตา bullyเสียง bullyการอยู่ในบ้าน แล้วเราเล่นกับผู้ชายเยอะๆมันไม่ใช่ทอมจริงแล้วคือคำที่เขาใช้เป็นคำหนักค่ะ เพราะว่าเป็นคำจากโซเชียลแล้วพอหนูอ่านปุ๊บ คือ ใจหนูตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเลยเพราะว่าเป็นคำที่เราไม่คิดว่าเราจะได้เห็น พอเราได้เห็นเราตกใจมากแล้วเราคิดว่าทำไมไม่มีใครเล่าให้เราฟังเลย เราคิดเลยตอนนั้นคือ ไม่อยากอยู่แล้ว เพราะคำบางคำมันแรงมาก สำหรับเมื่อก่อนคำบางคำคือไม่ได้ตลกสำหรับหนูเลยนะ เป็นคำที่แบบทำไมต้องมา bully เราอะไรขนาดนี้ ซึ่งทั้งๆที่หนูคิดว่าหนูเป็นคนที่มีสติมากๆกับทุกเรื่องนะคะ แต่พอมาเจอคำแบบนั้นหนูสติหายไปหมดเลยเพราะว่า…เราดันไม่มีสติในการเข้าไปดูในตอนนั้น คือ ถ้าหนูตั้งสติก่อนแล้วหนูรู้ว่าหนูต้องเจอกับอะไร เพราะมีแต่คนบอกว่าไม่ต้องไปดูว่าเขาพูดอะไร แต่เขาไม่ได้บอกเราว่าอย่าไปดูเพราะว่าคำที่เขาพูดถึงเรามันร้ายมากเลย มันแรงมากเลยเขาไม่ได้พูดนะ หนูก็เลยเข้าไปดูโดยที่หนูไม่ได้คิดอะไร เราก็ได้ภูมิใจหรอกค่ะที่เราถูกด่า ตอนนั้นพอเห็นคือโทรบอกทีมงานเลยพี่ๆหนูจะเอารางวัลไปคืนหนูไม่เอาแล้วถ้าหนูไม่เหมาะสมเอาคืนไปเลย ตอนนั้นเราพูดไปก็ร้องไห้ไป (ซึ่งหนูถึงได้บอกว่าตอนนั้นหนูสติไม่มีเลยเพราะเราไม่ได้คิดว่าสิ่งที่เราได้มาจากคนทั้งประเทศไหม คำพูดอะไรที่เราควรจะเก็บหรือคำพูดอะไรที่เราควรจะปล่อย) แต่วันนั้นคือ หนูคิดได้แค่ว่าหนูจะไม่อยู่แล้วเพราะเราไม่มีสติ ตอนนั้นเราก็เกือบลงมือก็ใช้สายไฟเลย ตอนนั้นเพราะว่าแม่อยู่อีกชั้นหนึ่งแล้วของที่แฟนคลับให้เยอะมากค่ะ เราก็จำเป็นต้องเช่าอีกห้องหนึ่งแล้วเก็บของด้วยก็เลยกลายเป็นว่าเราต้องอยู่แยกกับ คุณพ่อคุณแม่ คนละชั้น หนูทำพ่อแม่เลยไม่รู้ แต่ ณ ตอนที่มันจะขาดแล้วจะหมดแล้ว ตอนนั้นทำไปไกลมาก คือ พอจังหวะที่มันจะหมดจริงๆมันเหมือนหน้าพ่อหน้าแม่เข้ามา เหมือนแบบเสียงทุกคนแฟนคลับคือเข้ามาหมดเลยตอนนั้นเหมือนคนจะหมดลมแล้ว แล้วหนูเฮือกขึ้นมาอย่างนี้ แล้วหนูก็บอกตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ ทำอะไรพ่อแม่ให้ชีวิตมาเลี้ยงมายากมากเลยนะเขาต้องอดมื้อกินมื้อให้เราได้กินอิ่มแล้วเรากำลังทำอะไรกับคำพูดอะไรของใครไม่รู้ด้วย พอเราได้สติเราก็กลับไปนอนคิดน้ำตาไหล จนได้ไปคว้าเอาหนังสือของท่าน ว.วัชรเมธี (แล้วตอนนั้นคือทีแฟนคลับท่านหนึ่งในหนังสือของท่าน ว.วัชรเมธี มาแต่เปิดไม่ได้ตั้งใจจะอ่านทุกหน้าหรอกค่ะ ก็เปิดหน้าแรกกับหน้าหลัง ก็หน้าหลังคือ บอกว่าให้เราขอบคุณทุกอย่างที่เข้ามาแม้กระทั่งคำติฉินนินทานะเพราะมันทำให้เรารู้ตัวว่าเราอยู่จุดไหน พอหนูอ่านเสร็จแล้วหนูก็ลุกขึ้นมา ใช่สิ !! คนเราจะอยู่กับคำชมตลอดเวลาเหรอ จะอยู่กับความสุขตลอดเวลาเหรอนั่นคือ มนุษย์เหรอ หลังจากวันนั้นหนูเริ่มพัฒนาตัวเองเลยค่ะ ทุกอย่างแม้กระทั่งหน้าตาเพราะเป็นเรื่องที่ถูก bully จนหนึ่งได้เจอท่าน ว. วัชรเมธี ได้อ่านหนังสือท่านเป็นหนังสือที่ทำให้มีชีวิตรอดจนถึงทุกวันนี้ คุณแม่ก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้เลยค่ะ “

ถามเรื่องความรัก สังเกตุเห็นว่า ซานิ จะไม่ค่อยให้สัมภาษณ์ในเรื่องราวความรักมากสักเท่าไหร่

ซึ่งสาวซานิสก็ได้เผยว่า

คือหนูทำงานกับผู้ใหญ่เยอะมากเลยค่ะ แล้วแต่ละคนก็มีการสอนมาตลอดเลยว่า บางอย่างเรื่องส่วนตัวของเราพอเราพูดออกไปเราไม่สามารถเอาคืนได้ เพราะมันพูดไปแล้วมันเอาคืนไม่ได้แล้วทุกครั้งที่มันเอาคืนไม่ได้ต้องจำไว้เสมอนะ ไม่ว่าเราจะมีข่าวหรือมีอะไรก็แล้วแต่คนที่เสียมักจะเป็นฝ่ายผู้หญิงตลอดเลย แม้กระทั่งเราได้เขาแต่ก็กลายเป็นว่าเขาได้เราซึ่งไม่มีคนรู้ว่าเราได้เขาอะไรอย่างนี้ ในเมื่อเราเป็นผู้หญิงเราก็ยังต้องถือขนบธรรมเนียมแบบเดิมๆก็เลยกลายเป็นว่าหนูไม่ชอบพูดเรื่องความรักเท่านั้นเอง แต่ไม่เคยปิดว่าเราชอบเพศไหน ชอบแบบไหนหรือคนจะจำกัดหรือนิยามเราให้อยู่ในเพศไหน”

ถ้าถามถึงความรักของ ซานิ ตัวเธอนั้นชอบเพศไหนกันแน่ ซึ่งตัวเธอเองก็ได้เผยว่า “ตอบยากเลยค่ะ เป็นคำถามแรกหลังจากที่หนูจบ AF มาเลยนะคะ ไม่ได้ถามว่าหนูได้แชมป์แล้วหนูรู้สึกดีใจไหม แต่เขาถามหนูว่าเพศไหนคำแรกเลยแล้วหนูตอบว่าได้หมด ณ วันที่หนูตอบหนูรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องจริงในชีวิตหนูเพราะหนูคบมาหมดจริง !! เพราะหนูเคยมีแฟนเป็นทั้ง ผู้หญิง ผู้ชาย และเกย์ คือเราเจอมาหมดซึ่งแฟนที่เป็น เกย์ ถามว่าเรารู้ไหมว่าเขาเป็นรู้ค่ะแต่เราก็คบคือเขาเลือกที่เขาจะคบเราเพราะเขาสบายใจ แต่วันหนึ่งที่เขาไปเจอทางที่เขาแฮปปี้กว่าเขาก็ไปแล้วเราก็กลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ซึ่งการที่เลิกกับแฟนหนูทุกคนไม่เคยมีอาการอกหักนะคะ ตั้งแต่เกิดมาเพราะว่าเวลาที่หนูรู้ตัวว่าจะอกหักหนูก็หนีก่อนเลย เพราะว่าหนูไม่เคยจมอยู่ในสภาวะของการอกหักเลย เพราะแม่เคยถามหนูว่าลูกเคยร้องไห้ไหม เพราะไม่เคยเห็นลูกร้องไห้เลย”

ถ้าย้อนกลับไปถามถึงความรักครั้งแรกที่จริงจังของ ซานิ

โดยสาว ซานิ เผยว่า “ถ้าจริงจังเลยก็คือเป็นคนที่คบ 6 ปีค่ะ อายุห่างจากหนู 11 ปีค่ะ เป็นผู้ชายค่ะคนนี้ ตอนนั้นหนูอยู่ประมาณม.2 ได้มั้งคะ คนนี้คบยาวมากจนปี 1 ค่ะ ถึงจะเลิกกัน รู้สึกดีกับเขาเพราะว่าเขามาในรูปแบบของพี่ค่ะ เพราะหนูเป็นเด็กที่หุ่นโต กว่าวัยมากแล้วไปเจอเขาที่สระว่ายน้ำ คือ เขาเป็นคนที่มีรอยสักเต็มเลย แล้วสูง 190 กว่าเราก็มองว่าพี่คนนี้เท่จังเลย แต่เราก็ไม่ได้คุยกับเขานะคะ เพราะว่าหนูไม่คุยกับคนแปลกหน้าเราก็ไปว่ายน้ำปกติแต่เขามาเริ่มต้นคุยกับหนูเราก็เริ่มต้นคุยกัน”

เมื่อพิธรการถามว่า “ เอาจริงๆเลยนะ แต่ไม่ใช่เพราะไม่เคยรักใครจริงๆใช่ไหม”

ซานิ ก็เผยให้คำตอบว่า “หนูรักทุกคนหมดและทุ่มเทและคิดว่าจะเป็นรักครั้งสุดท้ายในชีวิตตลอดหมดทุกคน เพียงแต่การที่ไม่อกหักคืออะไร เพราะหนูรู้และใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน หนูรู้ว่าเขากำลังเปลี่ยนไป รู้ว่าเรากำลังไม่เหมือนเดิม หนูรู้ว่าฝั่งเราหรือเปล่าที่เปลี่ยนไป เมื่อหนูรู้อย่างนั้นแล้วหนูก็จะไม่ทิ้งเวลาให้มากไปกว่านี้ คือ รู้ตัวเร็ว ก็จบเร็ว และหนูก็จะถามเลยเพื่อไม่ให้เสียเวลาเพราะหนูรู้สึกว่าในชีวิตของหนูที่ผ่านมา หนูไม่สามารถเสียเวลากับเรื่องอะไรได้นอกจากการทำมาหาเลี้ยงชีพให้พ่อกับแม่และครอบครัวให้สบายที่สุด เพราะหนูใช้ชีวิตอยู่กับสติตลอดเวลา สวดมนต์ทุกวัน คือ คนเรามีมีเซนส์บางอย่างค่ะ แฟนเราเปลี่ยนไปนะหรือมีปัญหากัน แต่ทั้งหมดอยู่ที่ตัวของเราเองที่ไม่หยุด และก็ไม่เคยมีความรักครั้งไหนเลยที่ยื้อไม่อยากให้เขาไป คือ ขนาดรักที่คบกันมา 6 ปีเราก็ปล่อยเขาไปง่ายๆทั้งๆที่เราไม่ได้ทะเลาะอะไรกัน แต่ถ้าถามว่าใจข้างในเสียใจไหมมีอยู่แล้วค่ะ คำว่าเสียใจมีอยู่แล้ว แต่หนูจะจัดการความเสียใจนั้นยังไง ด้วยวิธีไหน ไม่ได้เป็นวิธีที่เกลียดเขานะคะ แต่เป็นวิธีการเอาเหตุผลทั้งหมดมารวมถึงแม้ว่าเราจะอยู่ด้วยกันต่อไปเราก็อาจจะต้องเกลียดกันก็ได้และหนูก็ยังเป็นเพื่อนได้กับแฟนเก่าของหนูทุกคน”

เรียกได้ว่าเส้นทางชีวิตและความรักของสาว ซานิ ผิดกับสิ่งที่เราเห็นเธอแสดงออกมาให้แฟนๆได้เห็นเลย ถึงอย่างไรก็ตามแอดขอเป็นกำลังใจให้นะคะ