ตู่​ นพพล​ เผยเบื้องหลังการทำงาน​ และประสบการณ์ใน​ วงการบันเทิง

ตู่​ นพพล​ เผยเบื้องหลังการทำงาน​ และประสบการณ์ใน​ วงการบันเทิง​​ จาก​ นักแสดง​ มากฝีมือ​ ผันตัวไปเป็น​ ผู้กำกับ​ และ​ ผู้จัดละคร จนมีลูกศิษย์เป็นคนดังนับ​ไม่ถ้วน

นักแสดง​ รุ่นใหญ่ ผู้ผันตัวเองมาเป็น​ ผู้กำกับ​ และ​ ผู้จัดละคร​ มากฝีมืออย่า​ง อาตู่ นพพล​ โกมารชุน​ วันนี้จะมาเล่าประสบการณการทำงานใน​ วงการบันเทิง​ พร้อมเผยความในใจของเหล่าลูกศิษย์​ เผยเตรียมตัวเกษียณใน​บทบาทของ​ ผู้กำกับ​ และ​ ผู้จัดละคร​ เมื่อถึงวัย​ 70​ แต่ยืนยันไม่ทิ้ง​ การแสดง​ อย่างแน่นอน​ ในรายการ คุยแซ่บ​ show

รู้สึกอย่างไรบ้างหลังจากไปเป็น​ ผู้จัด​ละคร แล้วกลับมารับงาน?

อาตู่ : สนุกครับ สนุกที่ได้ทำงานกับคนใหม่ๆ คนรุ่นใหม่ และได้ทำงานกับ​ นักแสดง​ ที่มีความสามารถสูงมากหลายคนเลย รู้สึกเหมือนได้พุ่งพลังอย่างเต็มที่

พอไม่ได้รับ​ ละคร​ มานาน การที่ต้องมารับสักเรื่อง คุณอาเลือกอย่างไร?

อาตู่ : เป็นคนที่ไม่เลือกบทมาแต่ไหน แต่ไรแล้ว ชอบแสดง เป็นคนรักใน​ การแสดง​ มาก มีใครอยากให้แสดงอะไรรับหมด แล้วมันยังมีอีกหลาย​บทบาท​มาก ตั้งแต่แสดงมา 43 ปี ยังมีอีกเยอะบทที่เราไม่เคยเล่น แล้วก็อยากเล่นด้วย

อาตู่เป็นคนที่เนี้ยบมาก 9 โมงคือ 9 โมง?

อาตู่ : ก็จะเป็นอย่างนั้นครับ เพราะหน้าที่และการรับผิดชอบของ​ นักแสดง​ คืออะไร เราจะต้องเน้นตรงนี้เป็นส่วนใหญ่ เริ่มตั้งแต่เวลา เขานัดมาก่อนเถอะ​ สองคือบท บทที่ตัวเองจะต้องเล่น ท่องมาหรือยัง ที่สำคัญอีกอย่างสำหรับ​ นักแสดง​ ก็คือ มนุษยสัมพันธ์ บางคนเก่งแทบตายไม่มีงาน เพราะอะไร เพราะคนนี้นิสัยไม่ดี ไม่จ้างดีกว่า จะเป็นอย่างนั้น

อะไรที่ทำให้​ อาตู่​ เป๊ะขนาดนี้?

อาตู่ : กลัวโดนดุ สมัยเป็น​ นักแสดง​ แรกๆ ก็โดนดุ จากคนที่​ อาตู่​ นับถือเป็นอาจารย์เลย ก็คือ​ อาหลอง กับ​ อาดุล นี่เป็นครูเลย นอกนั้นยังได้พี่เลี้ยง​ที่ถือว่าเป็นครู ผู้ปกครอง พี่เลี้ยงที่ดี ก็จะมี พี่จิ๋ม มยุรฉัตร, พี่ก้อย ทาริกา, พี่ไก่ วรายุฑ กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ดีมาก คือทุกอย่างไม่ได้ พูดตรง ดีไม่ดีนะด่าเลย

เวลาการทำการบ้านของ​ นักแสดง​ รุ่นใหญ่อย่างอา กฎของการทำการบ้านมีอะไรบ้าง?

อาตู่ : เรื่องย่ออ่านให้ครบว่าเหตุการณ์ทั้งหมดของเรื่องนี้เป็นอย่างไร รับบทมาดูบทเฉพาะที่เราพูดก่อน ต่อไปคือท่องบทของคนอื่น อันนี้สำคัญ นักแสดง​ บางท่านเขาจะไม่สนใจ ไม่อย่างนั้นเราไม่รู้ว่าคนที่เล่นด้วยจะพูดจบเมื่อไร เพราะฉะนั้นเราต้องท่องบทเขาด้วย เสร็จแล้วจบ พร้อม ตอนนี้ก็เป็นเรื่องของการทำร่างกายละว่าเรื่องนี้จะใช้พลังมากแค่ไหน

มีไหม​ นักแสดง​ บางท่าน หรือบางคนที่ไม่ไหวแล้วเรื่องระเบียบวินัย แล้วอาอบรม?

อาตู่ : ในส่วนของการเป็น​ ผู้จัด​ละคร ต้องคุย ต้องเตือน เพราะเราถือว่าตรงนี้มันเป็นการทำงาน แล้วมันเป็นอนาคตของเขาด้วย ถ้าเราไม่เตือน มันจะทำให้สิ่งที่เขาเป็นต่อไป มันไม่ดี

ดุที่สุดของ​ อาตู่​ เป็นประมาณไหน?

อาตู่ : เดินออกจากกอง ไม่พูด จะพูดก่อน อธิบายให้เขาฟัง จูงใจให้เขาเห็นว่าทำไมถึงจะต้องเป็นอย่างนี้ ทำไมเราจะต้องปรับวิสัยของตัวเอง เพื่อที่เขาจะได้มีอาชีพนี้ต่อไป แต่ถ้าเขายังไม่ฟังอีก ถ้าเขายังเป็นตัวของเขาต่อไป ไม่พูดแล้วครับ

แล้วพอเดินออกไปจากกอง สถานการณ์ตรงนั้นเป็นอย่างไร?

อาตู่ : เขาใกล้ตายกันทั้งหมด​ กองถ่าย เขาจะเครียดกันมาก​ ทั้งทีมงาน​ และ​ นักแสดง ซึ่งเราไปสงบอารมณ์ก่อน เดี๋ยวเดินกลับมาเอง

มันเคยถึงจุดอาละวาดไหม?

อาตู่ : ไม่ครับ พยายามเก็บความรู้สึกตัวเองดีกว่า

ในยุคที่อาเป็น​ ผู้จัดละคร ผู้กำกับ งาน​ ละคร​ เฟื่องฟูมาก วันหนึ่งที่เราต้องย้ายจากที่ที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งเราทำอย่างไรให้ไม่ทุกข์แล้วมีความสุขกับงาน?

อาตู่ : มีช่วงเปลี่ยนถ่าย แล้วเกิดเหตุการณ์ค่อนข้างจะรุนแรงตอนนั้นกับบริษัท แทบจะล้มเลย เราก็เสียใจมาก เพียงแต่ว่าเมื่อเวลาผ่านไปเราได้คนรอบข้างที่ดี ได้คู่ชีวิตที่ดี เราก็มีคุยกัน จับมือกัน สู้ต่อไหม สู้ต่อได้ เพราะฉะนั้นเราต้องทำใจให้นิ่งที่สุด เพื่อไม่ให้ทุกอย่างมันหนักหนาสาหัสกว่านั้น อาตู่​ จะไม่เหมือน​ นักแสดง​ คนอื่น อย่างบางคนเข้ามาตอนอายุ 25 มาจากอาชีพนู้น อาชีพนี้ แล้วมาเป็น​ นักแสดง แต่​ อาตู่​ เกิดมาพ่อ แม่ เป็น​ นักแสดง พ่อ แม่ เป็น​ นักพากษ์​ อยู่ใน​ วงการบันเทิง เราก็เลยรู้จัก​ นักแสดง​ ทั้งหมด รู้เหตุการณ์ใน​ วงการ​บันเทิง ทั้งหมด ก็เคยเห็นมาแล้วคนที่อยู่สูงสุด ลงมาอยู่ต่ำสุด กับต่ำสุดขึ้นไปอยู่สูงสุดชีวิตเขาเป็นอย่างไร มันเป็นบทเรียนให้​ อาตู่​ ได้จำ เพื่อที่จะเอามาสอนตัวด้วย อย่างแม่เนี่ยไม่เคยสอน​ การแสดง​ เลย แต่แม่จะสอนเรื่องการใช้ชีวิตของการเป็น​ นักแสดง เพราะฉะนั้นเราเตรียมใจได้ เราทำใจได้

การใช้ชีวิตของการเป็น​ นักแสดง​ ที่ดีนี่ควรทำอย่างไร?

อาตู่ : ทั้งหมดอยู่ที่การรับผิดชอบ แม่จะทำตัวให้เป็นตัวอย่างให้เราเห็นทุกวัน แล้วเราก็จะจำ

แนว​ ละคร​ ของ​ อาตู่​ จะแฝงความดีในตัวตนของมนุษย์ โดยเฉพาะในเรื่องของการรักชาติ รักแผ่นดิน ทุกวันนี้ยังคงเป็นแบบนั้นอยู่ไหม?

อาตู่ : ยังเป็นอยู่ครับ มันเหมือนเข้ามาในสายเลือดละแหละ ทุกครั้งที่เราทำ​ ละคร เราต้องคิดก่อนว่าจะให้อะไรกับท่านผู้ชมมากที่สุด แล้วสิ่งที่ชอบนำเสนอ ชอบให้คนดูได้รู้ก็จะมีเรื่องเกี่ยวกับชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และวัฒนธรรม อันนี้ชอบมาก ในยุคนี้เด็กรุ่นใหม่ไม่รู้จักแล้วว่าวัฒนธรรมคืออะไร อย่างวัฒนธรรมของแต่ละภาคไม่มีคนเห็น เพราะฉะนั้นเราต้องพยายามเสนอเข้าไป

อาปรับตัวอย่างไรกับยุคปัจจุบัน?

อาตู่ : มันก็เหนื่อยมากนะ เพราะบางทีสิ่งที่เราชอบมันไม่ถูกกับการตลาด แต่ก็ต้องพยายาม อย่างน้อยให้ได้แทรกไปสักนิดหนึ่ง หยอดเข้าไปสักหน่อย ต้องมีตลอด

พอเป็นเรื่องวัฒนธรรมอย่างที่อาชอบ พอมายุคนี้มันเชย มันจิ้นดีกว่า อารู้สึกอย่างไรบ้าง?

อาตู่ : ทำให้เราเกือบจะท้อ แต่ไม่ถึงกับท้อ อาชีพนี้ท้อไม่ได้ อย่างไรเราก็ต้องทำ เรามานั่งคิดดีกว่าครับ เรามานั่งคิดให้หนักขึ้นไปอีก ทำงานให้เยอะขึ้นไปอีกว่าทำอย่างไรเราถึงจะสอดให้เขาดูได้ แล้วเขาชอบด้วย

ตอนคุณอาเจอปัญหาหนักๆ ในชีวิต คนที่อยู่ข้างกายของคุณอาคือพี่นุช?

อาตู่ : ครับ เราสองคนช่วยกัน เพราะถ้ามันมีอะไรกระทบขึ้นมากับบริษัทก็หมายถึงกระทบทั้งคู่ แต่พี่นุชเขาเป็นคนที่สู้ ถ้าไม่อย่างนั้นเขามาไม่ถึงตรงนี้หรอก ที่เขาสู้กับการเจ็บไข้ ได้ป่วย ของเขาทั้งหลาย เขาก็สู้มาเป็นเวลานานหลายปี เวลาเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาเราหันหน้าเข้าหากันก่อน คุยกันว่าเราจะแก้ปัญหาอย่างไร แล้วก็เป็นกำลังใจให้กันและกัน

อาการของพี่นุชตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?

อาตู่ : ดีครับ ตอนนี้สุขภาพอะไรต่างๆ แข็งแรงขึ้นมาก จากที่เคยเดินไม่ได้อยู่ 2 ปี แล้วก็ไปรักษาจนกระทั่งเดินได้​ เดี๋ยวนี้ขยับตัวเร็วเกินไป ความที่เธอพลังเยอะ ไม่ค่อยจะระมัดระวังตัวเท่าไร ต้องคอยดึงๆ ไว้บ้าง ตอนนี้ดีขึ้นมากๆ เลยครับ

ให้กำลังใจกันอย่างไร?

อาตู่ : เราก็อยู่ใกล้ชิดให้มากที่สุด เพราะคิดว่าการที่อยู่ใกล้ชิดกัน ได้กอดกันมันคือการส่งพลังให้กันและกัน

เรื่องกาาทำงานอาต้องไปถ่ายในป่าตลอดเลย มีอุปสรรคอะไรเยอะไหม?

อาตู่ : มีเยอะมากครับ มันเกิดขึ้นจาก หนึ่ง​ อาตู่​ เป็นคนไม่ชอบถ่ายหนังในเมือง มันค่อนข้างน่าเบื่อมาก บางคนมาสายเพราะรถติด อะไรต่างๆ กว่าจะได้เริ่มงาน ในป่าเรามีชีวิตตรงนั้น มันอยู่กับความบริสุทธิ์ธรรมชาติ ถึงแม้ว่าปัญหาอุปสรรคมันจะเยอะมาก มีอยู่เรื่องหนึ่งถ่ายที่เชียงใหม่ มันจะเป็นหน้าผา มีลำธารที่ไหลแรงมากเขาก็เตือนแล้วบอกระวังนะ หน้านี้น้ำป่ามาแรง โอเคทุกคนก็ระวัง ก็พักกินข้าวกลางวัน กินไปได้แค่ 3 คำ เขาวิ่งมาแล้ว ย้ายด่วน น้ำป่ามาแล้ว วิ่งออกไปนี่นะ รางดอนลี่ลอยตามน้ำไปเลย มาแรงมาก น่ากลัวมาก ทุกคนก็รีบอพยพออกหมด เรื่องล่าสุด เก็บแผ่นดิน เหมือนกัน กำลังถ่ายๆ อยู่ น้ำป่ามา หนีกันหัวซุก หัวซุนเลย ทุกคนต้องช่วยกันหมด เก็บของ เข็นรถโอบี เข็นรถทีมงาน จะเจออย่างนั้นเยอะ ทั้งยุง ทั้งสัตว์ต่างๆ สาระพัด

ถ้าพูดถึง​ อาตู่ เราต้องนึกถึงนักปั้นคนคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นป๋อ ณัฐวุฒิ, อ้อม พิยดา, หนุ่ม อรรถพร แล้วอีกเยอะมาก อามีวิธีอย่างไรที่จะเลือก​ นักแสดง​ ?

อาตู่ : เลือกในความเหมาะสมของบท อย่างพี่ป๋อ ตอนนั้นคุณแดงส่งมาให้ เพิ่งกลับมาจากเมืองนอก แล้วทำงานเป็นวิศวกร ไม่เคยแสดง นัดมาเจอกันที่บ้าน พี่ป๋อก็จะนั่งงงๆ การแสดง​ มันคืออะไรครับ ก็ช่วยกันสอนไป พี่ป๋อโชคดีที่ได้เพื่อนๆ นักแสดง​ คอยโอบอุ้ม หลังจากนั้นพี่ป๋อก็เล่นมาถึงตอนนี้ แต่ตอนนั้นหลังปิดกล้องพี่ป๋อบอกจะไม่เล่นอีกแล้ว

ป๋อ : อาตู่​ เหมือนพ่อคนแรกทางการแสดงของผมเลยก็ว่าได้ เป็นทั้งครู ทั้งพ่อที่สอนป๋อมาทั้งเรื่องราวใน​ กองถ่าย การแสดง​ ใน​ กองถ่าย รวมถึงการปฏิบัติตัวนอก​ กองถ่าย ต้องกราบขอบพระคุณ​ อา​ตู่​ มากๆ นะครับ สำหรับวิชาทั้งหมดที่ถ่ายทอดมาให้ผม ขอให้​ อาตู่​ มีสุขภาพแข็งแรง แล้วอย่าลืมชวนป๋อไปเล่น​ ละคร​ ของ​ อาตู่​ บ้างนะครับ

อาอยากฝากอะไรถึงพี่ป๋อไหม?

อาตู่ : ส่งแต่ความรักครับเรามีความรักให้กัน เพราะว่าเราคบกันมานาน แล้วก็ทำงานด้วยกันมานาน มีแต่ความรักให้ ส่วนพี่อ้อม พิยดา จริงๆ แล้วเขาเกิดมาจากช่องวัน เพียงแต่ว่า​ อาตู่​ มาช่วยเกลา เพราะว่าพ่อเขาสั่งมา ดูแลลูกกูดีๆ นะเว้ย ครับพี่ๆ เดี๋ยวผมดูแลให้ครับ

อย่างพี่กัปตัน พี่หนุ่ม อรรถพร ตอนนี้เป็น​ ผู้กำกับ​ ดำเนินรอยตาม​ อาตู่​ ?

อาตู่ : เก่งมากทั้งคู่เลยนะ ทั้งคู่มีความสามารถสูงมาก จำได้เลยตอนที่ถ่าย​ เก็บแผ่นดิน​ อยู่เชียงราย กัปตันกับหนุ่มไม่นั่งเฉย พอฉากนี้เขาไม่ได้เข้า เขาไปฝึกแม้กระทั่งการลากดอนลี่ ฝึกจัดไฟ ฝึกแบกไฟ ทุกอย่าง เราก็มองเห็นแล้วว่า 2 คนนี้มีของ

อาอยากบอกอะไรคุณอเล็กซ์ไหม?

อาตู่: เหมือนกันครับ สำหรับอเล็กซ์มีความรักอย่างเดียวเลย รักในเด็กคนนี้ รักใน​ นักแสดง​ คนนี้เหมือนกับที่รักป๋อ รักใครต่อใครที่เป็นลูกศิษย์ของ​ อาตู่ เรารู้จักกันมาจนไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว นอกจากเรามีความรักให้กัน

คุณจอย ศิริลักษณ์ เป็นเด็กที่อาเอามาปั้นเลย?

อาตู่ : ครับ โสมส่องแสง จำได้ ในเรื่องนี้แคสติ้งยากมาก โอเคเราได้พระเอก 2 คนแล้ว พี่นก ฉัตรชัย กับพี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ ได้นางเอกคือคุณมาช่า ทีนี้เหลือนางเอกอีกคน จะต้องเด็ก อายุ 14 เท่านั้น เราก็หา ตัวนี้ยากนะ จนมาถึงวันที่จอยเข้ามา จอยมาจากสโมสรผึ้งน้อย จอยมีอะไรอยู่ในตัวอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งพอได้คุยทดลองให้เขาเล่นให้ดู ก็เลยคิดว่าเด็กคนนี้น่าจะไปได้ ทุกคนก็มาคุยกัน ตกลงกันว่าเลือกจอย ทีนี้ก็มาฝึก สิ่งหนึ่งที่จอยมักจะหลุดคือ ความเป็นเด็ก อาตู่​ ก็จะมีเสียงเข้มๆ พอได้รับการเตือนปั๊บเขาจะกลับมาอยู่กับตัวเองแล้ว

จอย : ตั้งแต่​ ละคร​ เรื่องแรกที่เล่นเต็มตัว คือเรื่อง โสมส่องแสง อาตู่​ ก็เป็น​ ผู้กำกับ และเป็นผู้ที่ให้โอกาสจอย ได้มารับบทเจ้าจ๋อย ครั้งนั้นเรียกว่าเรียนรู้ทุกอย่าง ที่​ อาตู่​ บอกว่าก่อนแสดงจริงต้องมาเทรนก่อน 3 เดือน ตอนนั้นเรียกว่าละเอียดทุกอย่าง เวลาทำงานจริง​ อาตู่​ ก็ฝึกให้เรามีวินัย เข้มงวด ต้องมีสมาธิในการที่จะอยู่กับ​บทบาท​นั้น อาเป็นคนใจดีไม่ดุ แซวเล่น รู้สึกว่ามีความสุขมากๆ ที่ได้ทำงานกับอา แล้วก็ขอบพระคุณอามากๆ ที่ให้โอกาสจอย แล้วก็เรียกว่าสอนทุกอย่างเลย ทำให้ทุกวันนี้จอยก็ยังเป็น​ นักแสดง​ ที่หลายๆ คนคิดถึง อยากจะดูผลงานอยู่ ทั้งหมดก็มาจากที่อาเคยสอน ฝากให้อาดูแลสุขภาพมากๆ รักและคิดถึง และเคารพอาเหมือนเดิมเลย

ได้ฟังแบบนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง?

อาตู่ : ปลื้ม ประทับใจกับ​ นักแสดง ถือว่าจอยเป็นลูกศิษย์ที่รัก เมื่อเห็นเขาเติบโต เมื่อเห็นเขาได้ดี นั่นคือความรู้สึกที่ดีมากๆ สำหรับ​ อาตู่

คนทำงานใน​ วงการบันเทิง​ ทุกคนได้รับผลกระทบหมดเลย รวมถึงตัวอาด้วย เป็นอย่างไรบ้าง?

อาตู่ : หนักอยู่ครับ ปกติ​ ละคร​ ยากๆ อย่าง เก็บแผ่นดิน เราจะตั้งไว้ว่า 9 เดือน ถึง 1 ปี ต้องปิด นี่เจอไป 2 ปีกว่า ซึ่งรายได้ก็ไม่มีเข้ามา รายจ่ายมีทุกเดือน แล้วมันก็ไม่มีอนาคตครับว่าเมื่อไรมันจะหาย เราจะต้องทำให้อยู่กับโรคอย่างนี้ได้ แล้วต้องทำใจอย่างสูงสุดว่าเราต้องอยู่ให้ได้

อาได้วางแผนชีวิตไหม?

อาตู่ : สำหรับ​ ผู้กำกับ​ กับการเป็น​ ผู้จัด​ละคร คิดว่าไม่น่าจะเกิน 3-4 ปีนี้ก็ว่าจะเริ่มถอย เพราะว่าแรงมันเริ่มที่จะถอยเหมือนกัน เรารู้ตัวเราดี  เมื่อไรถึงเลข 7 ก็น่าจะถอยได้แล้ว แต่​ การแสดง​ ไม่หยุดแน่นอน ไม่มีวันหยุด อย่างไรก็ยังชอบ​ การแสดง

เห็นว่าอาจะไปอยู่เชียงรายเป็นหลัก ถ้าสมมติไม่มีงานแสดงหรืออะไรก็แล้วแต่?

อาตู่ : ใช่ครับ ต้องการอยู่กับธรรมชาติให้ได้มากที่สุด อาตู่​ ว่าชีวิตในเมือง เป็นชีวิตที่ไม่ค่อยมีความสุขเท่าไร เราตื่นมา เราก็เห็นแต่ตึก เห็นแต่รถติด ฝุ่น ควันทั้งหลาย อยู่ตรงนั้น​ อาตู่​ ก็จะมีความสุขกับสัตว์เลี้ยงต่างๆ แล้วก็ต้นไม้ ดอกไม้

และนี่ก็คือเรื่องราวของ​ อ่าตู​่ นพพล​ นักแสดง​ รุ่นใหญ่มากความสามารถ​ เป็นทั้ง​ ผู้กำกับ​ และ​ ผู้จัดละคร​ แถมยังเป็นผู้ใหญ่อีกท่านใน​ วงการบันเทิง​ ที่ปั้นนักแสดงชื่อดังมาแล้วมากมาย​ น่าชื่นชมจริงๆเลยค่ะ

คลิปอีจันแนะนำ
เก่ง ธยช ภูมิใจมาก ได้ไปเล่นงาน งานระดับโลก