จากกรณีการสูญเสียบุคลากรทางการแพทย์ที่มีคุณภาพไปอย่างไม่มีวันกลับ หมอกระต่าย พญ.วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล ก็ยังสร้างความสะเทือนใจ และความโศกเศร้าให้กับคนใกล้ชิดเป็นอย่างมาก และยากที่จะทำใจ เนื่องจากเหตุการณ์อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากความประมาท ซึ่งมันไม่สมควรจะเกิดขึ้นกับใคร และไม่ควรมีใครที่จะต้องสูญเสีย
อีกหนึ่งคนในวงการบันเทิงที่เสียใจมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั่นคือ หมอเจี๊ยบ ลลนา เนื่องจาก หมอเจี๊ยบ และ หมอกระต่าย เป็นเพื่อนที่เรียนกันมาตั้งแต่เด็ก จึงมีความผูกพันธ์กันมาก โดยเมื่อวันที่ 24 ม.ค. เป็นวันคล้ายวันเกิดของ หมอกระต่าย หมอเจี๊ยบ และเพื่อนๆต่างก็นำอาหารที่ หมอกระต่าย ชอบมาให้เพื่อที่จะแฮปปี้เบิร์ดเดย์ในงานศพของเธอ ซึ่งทุกคนยังอยู่ในความเศร้า
ล่าสุด หมอเจี๊ยบ ก็ได้โพสต์ข้อความทางอินสตาแกรมอีกครั้งเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ ในเรื่องของการคมนาคม การจราจรบ้านเรา ที่ทุกคนเห็นถึงปัญหา แต่ก็ยังไม่มีการแก้ไขที่ดีมากพอ เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียขึ้นอีก พร้อมย้ำอีกเรื่องที่น่าใจหายว่า ประเทศไทยคือประเทศที่มีคนเสียชีวิตเป็นอัน 3 ของโลกอีกด้วย โดยข้อความของ หมอเจี๊ยบ ระบุว่า
“ต้องใหญ่โตถึงระดับไหน ? ถึงจะเปลี่ยนแปลงการคมนาคมขนส่ง และการจราจรในบ้านเมืองนี้ได้? ในเมื่อทุกคนเห็นและรับรู้ปัญหาเหมือนๆกัน
– ทางเท้า/ทางจักรยานต่างๆ ที่ไม่ปลอดภัยและใช้งานไม่ได้จริง
– ทางม้าลายที่มีไว้ให้รถไปก่อน
-ไฟทางสวยงามทั่วประเทศ ต้องติดให้เยอะๆ? เพราะใช้งานจริงมันจะติดบ้างไม่ติดบ้าง
– ทางกลับรถบนถนนใหญ่สายหลัก ในจุดเสี่ยง ที่เกิดอุบัติเหตุซ้ำบ่อยๆ เลยต้องเอาแบริเออร์มากั้นปิดตาย แต่ไม่มีงบสร้างสะพานกลับรถดีๆสักที
– ใช้งบไปแก้ซ่อมทางรายปีที่ยังไม่ทันพังก็จะซ่อมวนไปทั้งปี
– ป้าย “ง่วงไม่ขับ”, “ง่วงจอดพัก” เต็มถนนสายหลักแต่ไม่มีจุดปลอดภัยที่ให้จอดได้
– ป้ายจำกัดความเร็วและป้ายบังคับต่างๆที่ขัดกันเอง (เคยเจอ ป้ายบังคับความเร็ว 30, 60 kphสองป้ายที่ปักห่างกัน 10m จะเอาไง?)
– คนจอดรถกันตรงที่ห้ามจอด หรือไม่ควรจอด (เคยเจอรถบัสและรถตำรวจจอดแช่ค้างคืน กันอยู่หน้าป้ายรถเมล์ที่ทาขาวเหลือง ต้องออกมายืนโบกรถเมล์กลางถนนทุกวัน)
– รถเมล์จอดรับส่งผู้โดยสารที่เลนส์กลาง และ บางทีไม่ต้องหยุดสนิท วิ่งชะลอให้คนวิ่งตาม ขึ้น-ลง เอาเอง
– ขนส่งมวลชนที่ขาดแคลนทั้งปริมาณและคุณภาพ(ยิ่งช่วงโรคระบาดก็ลดรอบ ลดจำนวนไป ให้ยิ่งแออัดอีก)
– ตามมาด้วยปัญหามอเตอร์ไซค์ และ taxi เกลื่อนเมือง(รถยิ่งติด และอุบัติเหตุยิ่งมากขึ้น)
– ส่วนที่คิดว่าพอจะสะดวกบ้าง(BTS/MRT) ก็ปรับราคาโคตรแพงไปเรื่อยๆ จนคนไม่ไหวกันไปเอง
ขนส่งมวลชนระบบรางของประเทศที่ห่วย ขนอะไรใหญ่ๆไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอัน? เลยต้องใช้รถพ่วงวิ่งขนส่งกันเกลื่อนเมือง
– รถเก่าๆรุ่นที่เคยเห็นตั้งแต่เราเรียนประถม ก็ยังต่อ พรบ. ได้ ออกมาวิ่งกันปกติ
– คนโดยสารรถส่วนตัวอย่างไม่ปลอดภัย ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ซ้อนกันเต็มที่ นั่งกันจนล้นซาเล้ง หรืออัดกันมาหลังรถกระบะ
– คนขี่มอเตอร์ไซค์ก็ยังไม่ใส่หมวกกันน๊อค (ขนาดเห็นว่าเดี๋ยวนี้ใส่ mask กันได้ทุกคน)
– ใบรับรองแพทย์ไปออกใบขับขี่ ที่แทบจะอะไรๆก็ได้หมด เพราะตรวจสอบข้อมูลเจ็บป่วยไม่ได้จริง (แบบป่วยรักษา รพ .นี้ แต่ไปขอใบรับรองแพทย์อีก รพ.แจ้งว่าแข็งแรงไม่มีโรคประจำตัว ทั้งที่กินยาคุมอาการอยู่)
– อายุเท่าไรก็ขับรถได้ แม้จะเด็กอายุยังไม่ถึง เกณฑ์ใบขับขี่ หรือแก่จน 80+ แล้ว ก็ยังให้ขับ แม้ว่าจะตัดสินใจได้ช้ากว่าความเร็วรถไปมากก็ ok?
ลองมองรอบตัวว่ามีใครไม่เคยสูญเสียคนที่รัก จากระบบการจราจรของไทย คงจะไม่มี
ส่งหมอกระต่าย RIPKT อยากให้เป็นจุดเปลี่ยนประเทศไทย ประเทศที่คนตายจากอุบัติเหตุจราจรเป็นอันดับ3ของโลก
นอกจากนี้ หมอเจี๊ยบ ยังมีการระบุแคปชั่นเพิ่มเติมด้วยว่า
“ไม่อยากเรียกว่าเกิดอุบัติเหตุ เพราะการเรียกว่าอุบัติเหตุจะถือว่ามันป้องกันไม่ได้ ส่วนตัวซื้อคำว่า จิตสำนึก แค่ส่วนหนึ่งแต่ไม่ทั้งหมดซะทีเดียว เพราะจริงๆคนในประเทศที่เค้าพัฒนาแล้ว ไม่ได้มีจิตสำนึกเหมือนกันหมดทุกคน แต่เค้ากลัวกฎหมาย และบทลงโทษที่รุนแรง จึงไม่กล้าทำผิดและปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด การแก้ปัญหาที่เป็นไปได้จริงภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องโฟกัสมาจากที่โครงสร้าง ไม่ใช่ด้วยการแค่หวังหรือการทำแคมเปญรณรงค์ ขอความร่วมมือให้ประชาชนแต่ละคนพึงมีจิตสำนึกกันเอง ส่งหมอกระต่าย RIPKT อยากให้เป็นจุดเปลี่ยนประเทศไทย ”
ทั้งนี้สิ่งที่หมอเจี๊ยบได้ร่ายยาวข้อความต่างๆลงไปในอินสตาแกรม มีชาวเน็ตเข้ามาอ่านต่างก็คอมเมนต์แสดงความคิดเห็นไปในทางเดียวกันกับ หมอเจี๊ยบ อย่างมากมาย