อมรา อัศวนนท์ ควงหลานชาย เดวิด เปิดใจหลัง หายจากวงการไปนาน 10 ปี

อมรา อัศวนนท์ ควงหลานชาย เดวิด เปิดใจหลัง หายจากวงการไปนาน 10 ปี โต้เคย คิดสั้นฆ่าตัวตายที่สิงคโปร

เรียกว่าเป็นดารารุ่นใหญ่มากความสามารถอย่าง อมรา อัศวนนท์ และนับว่าเป็นตำนานนางงาม บนเวทีนางงามจักรวาลคนแรกของเมืองไทยอีกด้วย วันนี้ขอควงหลานชาย เดวิด อัศวนนท์ มาเปิดมุมป้า หลานน่ารักๆ มาเปิดใจหลังห่างหายจากวงการนานนับ 10 ปี พร้อมเคลียร์ข่าวเม้าท์ คิดสั้นฆ่าตัวตายที่สิงคโปร์ ในรายการ คุยแซ่บSHOW

ถาม : เป็นป้าหลานที่รักกันมาก คุยกันทุกเรื่องไหม ?

อมรา : รักสิ ก็สนิทกันมากเพราะสมัยเขาหนุ่มๆ เขาหล่อมาก สาวๆ นี่ติดตรึม ถามว่าทำไมเราถึงสนิทกับเขาที่สุดเพราะว่าพี่น้องเรามีอยู่ 3 คน แล้ว เดวิด เข้ามาปรึกษาเราว่าเขาชอบการแสดง แต่หลานคนอื่นไม่ชอบการแสดง ซึ่งเรารู้สึกว่าตอนนั้นเขาหล่อมาก ตาคม จมูกนิด เราก็พาเขาไปแนะนำบริษัทโน้น บริษัทนี้ ทุกที่ก็บอกว่าหน้าตาดีแต่ไม่มีประสบการณ์

เดวิด : เวลาคุยกับคุณป้าเราก็ค่อนข้างเปิดอก คือเราเป็นนักแสดง ก็จะมีความเพี้ยนๆ คล้ายๆ กัน เพราะฉะนั้นก็จูน กันง่าย คือผมชอบงานแสดงรู้สึกว่ามันมีเสน่ห์ แต่อย่างที่รู้ๆ กันว่าวงการแสดงมันเป็นวงการที่ลึกลับ เราไม่รู้หรอกว่าเราจะเข้ามาอย่างไร เราต้องติดต่อใคร ตอนนั้นมันก็ผ่านมา 20 ปีแล้ว ตอนนั้นป้าผมก็อายุ 60 กว่าแล้ว การรู้จักคนก็น้อยลงตามกาลเวลา เพราะผู้จัดก็เปลี่ยนไป เพราะฉะนั้นการที่เราเข้าไปหา คนโน้นคนนี้ บริษัทโน้นบริษัทนี้มันก็ไม่มีใครสนใจเรา

ถาม : ไปมาหลายบริษัทแล้วไม่ได้ท้อบ้างไหม?

อมรา : ฉันก็ท้อ ฉันก็เสียใจ ก็เลยบอกให้ เดวิด ไปเรียนให้เก่งไปเลย คือเรารู้สึกว่าความหล่อ กับการแสดงนั้นมันเป็นเรื่องคนละเรื่อง ก็เลยปรึกษาเขาแล้วในที่สุดเขาก็ตัดสินใจไปเรียนการแสดงที่อเมริกา

เดวิด : ไปเรียนการแสดงมาก็ไม่รู้ว่าเรียกว่าเป็นความสำเร็จได้หรือเปล่า แต่เราก็มีงานทำเรื่อยๆ แค่มีงานทำก็เป็นบุญแล้ว

ถาม : ทีมงานบอกว่าเดวิดตามใจป้าทุกอย่าง?

เดวิด : มันปฎิเสธยาก เพราะเขาอายุมากกว่าเรา อันนี้ไม่ใช่หลอกด่าว่าแก่นะ คือเขาอาวุโสกว่า จริงเราก็ไม่ถนัดออกรายการทอร์คโชว์ ด้วยความที่เราเป็นคนพูดตรงไปตรงมา ซึ่งบางทีเราพูดอะไรไปในรายการสด เราเอาคืนกลับมาไม่ได้ เราก็กลัวพูดอะไรผิดพลาด

ถาม : หลายคนทักผิดว่าเป็นแม่ลูก?

เดวิด : คือคนเข้าใจผิดมากเหมือนกัน คือพ่อผมเป็นน้องของคุณป้า

ถาม : วันที่เดวิดได้ตุ๊กตาทอง คุณอมรา ภูมิใจกับหลานคนนี้ขนาดไหน?

อมรา : ภูมิใจมาก อัศวนนท์ แล้วเขาก็เป็นหลานเราแท้ๆ และหลานคนนี้ไม่เคยทำให้เราเสียใจเลย ทำแต่ภูมิใจ จริงๆ เราก็อยากให้ลูกมาเอาดีด้านการแสดง แต่ลูกเราไม่มีใครเอาเลย ถามว่าดันเขาไหม ก็เชิงดัน เพราะเขาชอบ แล้วถ้าได้ทำสิ่งที่ชอบคนเรามันทำได้ดีเพราะมันไม่ฝืนความรู้สึก แล้วเราก็เห็นแววของเขาด้วย

ถาม : เดวิด โลกส่วนตัวสูงจริงไหม?

อมรา : สูง มากเลย รักใครรักจริง เกลียดใครเกลียดจริง แต่ถ้าเขาทำอะไรไม่ดีเราก็มีว่าเขา คือเขาชอบพูดจาไม่ดี เราก็จะบอกให้เขาพูดจาให้ดี ให้สุภาพเขาก็จะเถียงว่าเป็นคาแรกเตอร์ของเขา คือเราเป็นคนยุคเก่า ตอนนี้ก็อายุ 86 ปีแล้วยุคนั้น ก็มีแต่คนเรียบร้อย แต่ตอนนี้ ยุคสมัยมันเปลี่ยน มันก็ศัพท์บางคำที่เราฟังแล้วก็ช็อคๆ บ้างเพราะเราเป็นคนโบราณ บางครั้งเราก็เลยต้องเตือนเขา

เดวิด : คือเราติดสบถ คือคนเรามันต้องใช้ชีวิตจริง เวลาคุยกันเราก็ต้องมีการใช้อารมณ์ ซึ่งผมเชื่อว่าใครๆ ก็เป็น แล้วผมเป็นคนที่ไม่ปฎิเสธความรู้สึกของตัวเอง ใครที่ดีผมก็คือดี ใครที่แย่มาก เราก็จะพูดตามเนื้อผ้า

ถาม : อยากทราบว่าทำไมไม่อยากมีลูก?

อมรา : คือเราเคยพูดกับเขาว่าถ้า เดวิด มีลูก แล้วได้ลูกสาวแล้วฉันยังมีชีวิตอยู่ ฉันจะดันเป็นนางสาวไทย เราคิดว่าถ้าลูกสาวหน้าเหมือน เดวิด จะต้องสวยมาก แต่เขาบอกว่าชาตินี้เขาจะไม่มีลูก ซึ่งทุกวันนี้เขาก็ยังคิดอย่างนั้น

เดวิด : เรามีความรู้สึกว่าเราเกิดมาชีวิตมันเหนื่อยเหลือเกิน เพราะมันต้องต่อสู้อะไรหลายๆ อย่าง ตั้งแต่เด็กจนโตขึ้นมาเราต้องต่อสู้กับโลกภายนอกและโลกภายใน กว่าจะหาความสมดุลย์ได้มันยากลำบากมาก มันต้องใช้เวลา แล้วช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อมันสามารถหลงผิดได้ช่วงไหนก็ไม่รู้ แล้วสังคมทุกวันนี้กับที่ผ่านมามันก็ไม่ดีขึ้น ดูได้จากข่าวมันหดหู่มากเลย สภาวะเศรษฐกิจ รัฐบาลทั่วไปของโลกใบนี้มันไม่ได้ก่อตัวเพื่อประชาชน มันคือผลประโยชน์ส่วนตัว อันนี้ผมไม่ได้ว่าใครอะไรทั้งสิ้น ผมก็เลยรู้สึกว่ามันอยู่ยาก แล้วโลกสมัยนี้กับการเป็นคนดี คนก็มองว่าโง่เพราะโดนเอาเปรียบ แล้วผมก็รู้สึกว่าผมไม่ได้มีหน้าที่อะไรที่จะต้องสืบสายพันธ์บนโลกใบนี้ ผมก็เลยรู้สึกว่าไม่มีดีกว่า

ถาม : คืออยากดันเหลนเป็นนางงาม?

อมรา : คือเราเห็นใครสวยๆ เราก็จะสนับสนุน เพราะเราอยากให้ประเทศไทยมีคนสวยๆ ถามว่าเพราะอยากแก้มือไหมก็ไม่ใช่นะ แต่เพราะเรามองว่ามันเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่ง ที่เราสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย สมัยที่เราไปไม่ได้ใช้ว่าประเทศไทยนะยังใช้ชื่อว่าสยามอยู่เลย คือตอนนั้นเราตอนอายุ 17 ปี ตอนนี้ 86 แล้ว

ถาม : ถือเป็นตำนานนางงาม?

อมรา : คือตอนที่เราประกวดนางสาวไทยเราได้อันดับ 4 คือธรรมดามิสยูนิเวิร์สเขาต้องเชิญนางสาวไทย แต่เขาพร้อมที่จะไป คนที่สองที่สามเขาก็ไม่พร้อมเพราะต้องไปด้วยทุนทรัพย์ตัวเอง เพื่อเดินทางไปประกวดที่อเมริกา ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่อเมริกามีการ์ดเชิญมา คือตอนนั้นเราไปทางเรือ ใช้เวลาเดินทาง 21 วัน จากฮ่องกงเป็นเรือใหญ่เดินทางสบายมาก พอเดินทางไปถึงญี่ปุ่น นางสาวญี่ปุ่นเขาก็มาต้อนรับเรา แล้วก็ไป โฮโนลูลู แล้วก็ไปซานฟราน ที่บ้านสนับสนุนเพราะคุณพ่อเป็นสปอนเซอร์ให้ ยังให้น้องชายไปด้วย ถามว่าตื่นเต้นไหม ก็ตื่นเต้น เพราะเรามาจากมาแตร์เดอี ไปประกวด ก็ต้องออกจากมาแตร์ก่อนถึงจะไปประกวดได้ พอหลังจากประกวดก็คิดจะไปเรียนต่อ ทางโรงเรียนก็ไม่ให้เรียนต่อเพราะทางโรงเรียนบอกว่าเด็กที่ประกวดนั้นใจแตก คือสมัยนี้เขาสนับสนุนแต่สมัยนั้นมันไม่ใช่ แต่ก็ถือเป็นโชคดีที่ได้ไป เราก็รู้สึกสนุกดี เราโชคดีที่เราสามารถพูดอังกฤษและภาษาฝรังเศสได้ตั้งแต่เด็ก ๆ คุณแม่เราเป็นคนฝรั่งเศส

ถาม : แล้วตอนเจอนักข่าวครั้งแรกเป็นอย่างไร?

อมรา : จำได้ว่าตอนที่เจอนักข่าวนั้นเราใส่กระโปรงบานยาวครึ่งหน้าแข้ง เป็นแบบสุ่ม ก็เป็นชุดสมัยก่อนนะ พอเราไปถึงนักข่าวก็จะวิ่งขึ้นมาที่เรือ แล้วก็สัมภาษณ์ เราตอบได้ก็สบายใจ พอตอนถ่ายรูป ก็มีคนถกกระโปรงเราขึ้นถึงขาอ่อนเราก็ตกใจรีบเอาลง เขาก็บอกว่าเดี๋ยวพอประกวดคุณก็ต้องโชว์ เราก็ตกใจเพราะเรายังเด็กมากอายุ 17-18 เท่านั้นเอง

ถาม : กลับมาเมืองไทยฮอตขนาดไหน?

อมรา : ตอนนั้นดัง มีคนมาจีบเยอะ คือตอนที่เรากลับมาอายุ 18 แล้ว เพราะพอประกวดเสร็จเราไม่ได้กลับทันที เพราะเขาให้เราไปโชว์ตัว กว่าจะกลับจากประกวดมิสยูนิเวิร์สก็ 3 เดือน พอกลับมาคุณพ่อจะให้ไปเรียนเสริมสวยที่ฝรั่งเศส เพราะคุณป้าอยู่ฝรั่งเศส แต่มีงานหนังเข้ามาก่อน ก็เลยเริ่มอาชีพนักแสดงตั้งแต่นั้น

เดวิด : ตอนที่คุณป้าดังๆ เรายังเด็กมากผมอายุประมาณ 8 ขวบ แต่พอโตขึ้นมาก็ทราบว่าป้าเราเป็นดาราที่ดังมาก คือเพื่อนที่โรงเรียนมาทักว่า เป็นอะไรกับ อมรา ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังถามอยู่ เราก็ภูมิใจคุณป้ามาก เพราะท่านก็ดังระดับประเทศ

ถาม : ทำไมทั้งคู่ชอบได้รับบทร้าย?

อมรา : คือหนังเรื่องแรก รักริษยา ของเราก็ได้รับบทร้าย แต่เชื่อไหม ขนาดไม่ได้เล่นหนังมาเป็นสิบปี ก็จะมีคนทักว่าใช่ไหม แต่ส่วนใหญ่คนจำเสียงได้ก็ไม่รู้ว่าเสียงเรามีความพิเศษอย่างไร

เดวิด : ส่วนผมคนบอกผมว่าผมหน้าดุ ตาดุ

ถาม : คนมองเลือกงานหรือเปล่า?

อมรา : เราก็ไม่ได้เลือกนะ ส่วนบทที่ไม่เล่นคือ ถ้าออกมาฉากเดียวแล้วตายเราก็ไม่อยากเล่น ถามว่าหลานชายมีปรึกษาเรื่องการแสดงไหม ไม่มีนะ คือการแสดงของเรา เราก็ไม่เคยเรียนการแสดง เราโชคดีที่ได้ผู้กำกับดี ผู้กำกับก็สอนว่าเวลาแสดงเราต้องมีอารมณ์ร่วมแววตาต้องได้

เดวิด : ส่วนผมก็ไม่เคยไปขอคำปรึกษาเรื่องการแสดงกับคุณป้าเลย ที่ไม่ขอคำปรึกษาไม่ใช่เราเก่งนะ เพียงแต่เราเรียนมาจากที่ต่างประเทศ เขาสอนวิธีทำให้เราได้ใกล้ชิดตัวละครมากที่สุดแล้ว เราก็เลยไม่ได้รู้สึกงง หรือต้องขอคำปรึกษาอะไร

ถาม : มีช่วงหนึ่งหายจากวงการไปเป็น 10 ปี?

อมรา : คือตอนนั้นสามีเป็นมะเร็งตับ ก็ต้องมีการรักษา ต้องดูแลทั้งเรื่องยา เรื่องอาหาร ตอนนั้นหมอให้เวลา 3 เดือนเราก็ดึงมาได้ 2 ปี คือเราไม่อยากทิ้งเขาเพราะเรารู้ว่าเขาไม่อยู่กับเรา เราก็อยากดูแลเขามากที่สุด และใช้เวลากับเขามากที่สุดเท่าที่จะมากได้ มันเป็นช่วงเวลาที่ยากสุดในชีวิต เพราะพอต่อหน้าเราก็ต้องให้กำลังใจเขา เขากินอะไรเราก็ต้องกินเป็นเพื่อนเขา พอเขาหลับเราก็นั่งร้องไห้ มันเศร้าใจเพราะมันต้องจากกันแล้ว มันเป็นช่วงที่ทรมานมาก เพราะตอนนั้นแม้แค่เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงเราก็อยากอยู่กับเขา

ถาม : มีข่าวว่าคุณอมรากระโดดตึกที่สิงคโปร์ฆ่าตัวตาย ?

เดวิด : ตอนข่าวนี้ออกมาผมขำมาก ตอนมีคนโทรเข้ามาผมก็ถามกลับว่าอะไรเพราะมันไม่ใช่ มันเป็นไปไม่ได้ ผมไม่เชื่อ และไม่ได้สนใจ เพราะเรารู้ทันว่ามันไม่ได้เป็นอย่างนั้น

อมรา : คือตอนนั้นเราเป็นสมาชิกโรตาลี่ที่ลาดพร้าวแล้วเขาก็เชิญเราเดินทางไปทั่วโลก เป็นจังหวะที่เราไปต่างประเทศพอดี แต่ตอนนั้นเราไปเกาหลี เราไม่ได้ไปสิงคโปร์แต่มาทราบทีหลังว่ามีคนกระโดดตึกจริงแต่เป็นผู้ชาย แต่ลูกชายกับลูกสาวตกใจมากเขาก็โทรมาถามพอเขาได้ยินเสียเขาก็ดีใจ เพราะมันไม่มีเหตุผล พอเรากลับมาก็มีแต่คนถามว่าใครปล่อยข่าว เราก็บอกว่าเราไม่รู้ ช่อง 9 ก็เชิญไปสัมภาษณ์ว่าโกรธไหม เราก็บอกว่าไม่โกรธ บางคนก็แนะนำให้ฟ้อง เราก็ไม่ได้ฟ้อง และไม่รู้ด้วยว่าใครทำ เราเกิดมายากจะตายให้มันตายตามวัยไม่ดีกว่าเหรอ

ถาม : ความสุขของชีวิตคืออะไร?

อมรา : ความสุขของชีวิตก็คือแต่งงาน เพราะเราได้แต่งงานกับคนที่เรารัก

เดวิด : คือการเจอคู่ชีวิตที่ดี เพราะเรารู้จักคนหลายคนที่ยังไม่เจอคนที่ใช่ พอไม่เจอคนที่ใช่ก็จะมีความเหนื่อย ความล้า ความท้อ เพราะฉะนั้นถ้าเราเจอคนที่ใช่แล้ว เวลามีความสุขมันก็คูณสอง พอเจอทุกข์มันก็หารสอง พอเราเจอคนที่ใช่ โลกทั้งโลกอาจจะต่อต้านเราแต่เราไม่แคร์ เพราะเรามีคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตให้กำลังใจ รู้จักเราแล้วรักเราจริง

เรียกว่าเป็นคู่ซี้ ป้า หลานที่สนิทกัน และน่ารักมากๆจริงๆ แอดยังแอบเสียดาย ถ้าหนุ่ม เดวิด มีทายาทต้องสวยอย่างที่คุณป้า อมรา บอก และที่สำคัญคงได้เดินบนเส้นทางบันเทิงเหมือนคุณพ่อแน่ๆ