​ณเดชน์ หวานไม่หยุด คลั่งรัก ญาญ่า เล่าวินาทีขอแต่งงาน

​​ณเดชน์ หวานไ่ม่หยุด คลั่งรัก ญาญ่า เล่าวินาทีขอแต่งงาน บอกขอแต่งงานในละคร กับ ชีวิตจริงไม่เหมือนกันเลย

บอกเลยว่าความสุขมันล้นจริงๆจ้าสำหรับว่าที่เจ้าบ่าว ณเดชน์ คูกิมิยะ ล่าสุดมาออกงานอีเวนต์เลยได้ออกมาเล่าโมเมนต์สุดหวาน ว่าวินาทีขอ ญาญ่า อุรัสยา แต่งงานเป็นอย่างไรบ้าง โดย ณเดชน์ เผยว่า

“โล่งเลย เตรียมการนานพอสมควร เตรียมทุกอย่างทั้ งสถานที่ ทั้งกับบริษัททัวร์ที่เราให้เขาเป็นคนจัดการวางแผนการท่องเที่ยวให้ แล้วที่สำคัญก็คือเพื่อนๆ ที่ไป จริงๆ จะขนไปเยอะกว่านี้แต่ว่าหลายๆ คนอาจจะติดงาน เพื่อนๆ มหาลัยของญาญ่าด้วย แต่ว่าทุกอย่างก็ออกมาด้วยความสุขราบรื่น ดีใจมาก”

“ถามว่าทำไมยังไงไม่ให้เขาจับโป๊ะได้ จริงๆ ผมเก็บความลับไม่ค่อยเก่งอยู่แล้ว จะมีอาการที่ล้นๆ เกินๆ เกิดขึ้นในวันนั้น เขาก็คงไม่ได้คิดว่ามีอะไร แต่ว่าผมก็จะมีอาการนิดนึง ส่วนที่เลือกขอในทริปนี้ ผมว่ามันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะจริงๆ เราก็มีเวลาได้พักผ่อน ได้เที่ยวค่อนข้างเยอะ แล้วอีกอย่างที่อิตาลีเป็นสถานที่ที่หนึ่งที่รู้สึกว่ามันโรแมนติก และมันก็เหมาะที่เราจะมอบโอกาสนี้ให้กับเขา เขาเหมาะสมกับสถานที่แบบนั้น เราก็อยากให้เขาอยู่ตรงนั้น อยากจะให้โมเมนต์บรรยากาศแบบนั้นมันอยู่ตรงนั้น”

“Bagni Regina Giovanna เป็นสถานที่เดิมในประวัติศาสตร์เป็นอ่างอาบน้ำของราชินี Giovanna นั่นเอง ผมก็รู้สึกว่าการได้ไปขอเขาตรงนั้นเหมือนเราจะเป็นอ่างน้ำที่โอบอุ้มเขา นี่คือความหมายของสถานที่ ในความคิดของเรา แต่ว่าจริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม จะอยู่ไทยหรือในร้านอาหารก็ตาม ถ้าคนมันรักกันจริงๆ รู้สึกว่ามันใช่คนนี้ ผมว่าก็เป็นโอกาสที่ดีที่จะขอ เรียกว่ามอบหัวใจที่บริสุทธิ์ให้แก่กัน”

“วินาทีวันนั้นผมพูดอะไรผมไม่รู้เรื่องเลย ผมเตรียมทุกอย่างไปหมดเลย เตรียมว่าผมจะพูดแบบนี้ เรามีโอกาสได้ไปสถานที่ต่างๆ ที่เที่ยวในอิตาลีแล้วมันมีความหมายดีๆ เกิดขึ้น ผมก็แพลนในหัวแล้วว่าผมจะพูดหนึ่งสองสามสี่ แล้วก็จะคุกเข่า หยิบแหวนออกมา แต่พอถึงเวลาจริงๆ พูดอะไรก็ไม่รู้ เลยบอกว่า เนี่ย คุยกับที่บ้านแล้วนะ อะไรที่เป็นคำพรรณนาที่สวยงามหายหมด

“แต่ผมก็รู้สึกดีใจที่เราก็พูดอะไรบางอย่างที่มันไม่ใช่ละคร มันคือชีวิตจริงๆ ความรู้สึกแบบนี้มันไม่เหมือนในละครที่เราพูดว่า ฉันรักเธอ ขอแต่งงานแล้วคุกเข่า ไม่มีอะไรเหมือนเลย มันเป็นความตื่นเต้น ประหม่า ดีใจ อะไรก็ไม่รู้ที่เราเข้าใจพี่หมากด้วยเหมือนกัน ว่าทำไมตอนที่เขาขอกับคิมแล้วเขาถึงสวมผิดมือ”

“ไม่ร้องไห้ กรี๊ดกร๊าดกันอย่างเดียว โดยเฉพาะว่าที่คู่หมั้นของผม เขากรี๊ดกร๊าดมีความสุข ผมก็มีความสุขมากๆ ผมไม่ได้ร้องไห้ คือมันตื้นตัน มันดีใจครับ แต่ว่าก็ไม่ได้มีน้ำตา เรื่องเขาแอบจับโป๊ะเราได้ ผมว่าเขาน่าจะรู้ ผมว่าผู้หญิงมีเซ้นส์ พอดีเราลงไปว่ายน้ำกันในอ่างอาบน้ำ แล้วขึ้นมาเปลี่ยนชุด”

“พอขึ้นมาข้างบน เขาก็กำลังเปลี่ยนชุดแต่งหน้า เขาหันมา 3 วิ แป๊บเดียวผมใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้ว ผมก็บอก ที่รักเร็วๆ เปลี่ยนชุดๆ เพราะว่ามันจะใกล้เวลาที่ผมจะต้องนัดเพื่อนๆ มาตรงนี้ พระอาทิตย์จะต้องตก แสงจะต้องเป็นแบบนี้ ผมก็หวังว่าจะไม่มีฝนตกวันนั้น แล้วผมก็ลก เขาก็คงคิดว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ แบบนี้ ผมก็ดูลกๆ ตั้งแต่เช้าด้วย น้องก็คงจะจับได้”

“ใช่ๆ เขาสวยรอทุกวันเลยครับ เขาสวยทุกวันอยู่แล้วครับ สวยทุกวัน ไม่ไปอิตาลีก็สวยครับ เขาทำเล็บไปด้วย แล้วผมก็ทำเล็บไปด้วยเหมือนกัน ส่วนประโยคที่เราเตรียมจะพูดกับเขาตั้งแต่แรก ประโยคที่ผมพูดกับเขาตอนนั้น ผมบอกว่า ผมอยากจะแทรกซ้อนเข้าไปอยู่ในชีวิตคุณ ความหมายของผมก็คือ เราควรจะประสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ว่าผมตื่นเต้นมากจนผมพูดอะไรไม่รู้”

ส่วนสิ่งที่เตรียมไปแล้วยังไม่ได้พูดในวันนั้น ก็ได้บอกแล้วครับ หลังจากที่หายตื่นเต้น ไปกินข้าวกัน ผมมีโอกาสได้บอกเขาอีกรอบหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี หัวใจไม่ได้เต้นแรง ก็ได้พูดแล้วครับ”

“ส่วนน้องก็บอกเราว่า yes of course สำหรับความหมายของแหวน ผมเป็นคนที่ชอบเครื่องประดับอยู่แล้ว ก็จะมีดีไซน์อะไรที่ผมชอบๆ และคิดว่าเขาจะชอบ ก็ปรึกษาที่ร้านในความเป็นแหวนที่ผู้หญิงจะใส่แล้วเหมาะสมและสวย ผมว่าก็เหมาะสมกับเขา เป็นแหวนที่สวย”

“เรื่องขนาดจริงๆ ตัวเม็ดผมซื้อไว้นานแล้วครับ เพราะรู้สึกว่ามันมีช่วงหนึ่งที่เรารู้สึกเราพร้อมแล้ว แล้วก็พร้อมด้วยงานด้วยอะไร เรารู้สึกว่ายังไม่ใช่เวลาของมัน จนมาถึงวันที่ 1 มิถุนายน ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่ผมได้ขอน้อง”

“เป็นร้านเพชรที่ประเทศฮ่องกง ตัวเม็ดจากฮ่องกงแต่ตัวเรือนขึ้นที่ไทย ตอนนั้นผมพยายามหาเพชรชนิดนี้มันเป็นเพชรชนิดพิเศษก็คงไม่ได้พิเศษไปกว่าเพชรคนอื่นๆ แต่ว่าเราแค่อินทรูกับเรื่องของจิวเวอร์รี่เฉยๆ เราเลยอยากหาอะไรที่มันพิเศษกับคนพิเศษของเราเท่านั้นเอง ก็ไม่เป็นเพชรธรรมดาแล้วกันครับ เดี๋ยวแฟนผมไปเดินที่ไหนแล้วโดนขโมยโดนกระชาก (หัวเราะ) ไม่ใช่ 12 กะรัตนะครับ ไม่ไหวๆ”

“ส่วนเรื่องงานแต่งจริงๆ พอกลับมาทำงาน ก็มีคิดๆ ไว้ แต่ยังไม่มีเวลามานั่งคุยจริงๆ จังๆ แต่ถามว่าคงยังไม่ใช่เร็วๆ นี้ เพราะว่างานแต่ละคน ก็ไปใช้ชีวิตอยู่ยุโรปกลับมาก็ทำงานต่อ ต่างคนต่างทำงานกันหนักมากเลย เมื่อไหร่เดี๋ยวจะบอก ไม่ได้ซีเรียสเรื่องระยะเวลา แต่ถือว่าเราก็ได้คุยกับที่บ้านทั้งคุณพ่อคุณแม่เขาแล้ว ทุกคนไม่ได้เร่งรัดหรืออะไรเลย เข้าใจแล้วก็ให้เราทั้ง 2 คนเป็นคนตัดสินใจ เพราะมันเป็นอนาคตของเราสองคน งานแต่งไม่ใช่ปีนี้แน่ๆ ฤกษ์เดี๋ยวเราต้องดูอีกที ว่าจะเป็นปีไหนก่อน แล้วค่อยมาหาฤกษ์วันกันอีกทีนึง จริงๆ ไม่ซีเรียสเรื่องฤดู ถ้าหนีหน้าฝนได้คงจะดี ในอนาคตนะ สำหรับสถานที่แต่งอันนี้ไม่รู้เลยครับ ยังไม่รู้เลยว่าจะจัดอะไรที่ไหน จะจัดแบบไหนด้วย ตอนนี้ผมโฟกัสลูกพี่ผม พี่หมาก”

หลังขอแต่งงานกันแล้วความรู้สึกเปลี่ยนไปไหม?

“เปลี่ยนครับ ผมรู้สึกว่าเราผูกมัดกันมากขึ้น เรารู้สึกว่าเราคิดถึงเขามากขึ้น แล้วก็เรารู้สึกว่าไม่อยากห่างกันอะไรแบบนี้ ยิ่งตอนกลับมาแรกๆ โอ้ย แบบว่าต่างคนต้องกลับมาทำงานแบบ โอ้โห แต่เราก็เข้าใจความรู้สึกของคนที่หมั้นกันแต่งงานกัน”

ความรู้สึกของการเป็นเจ้าของ ถามว่ามันมากขึ้นไหม?

” ไม่นะครับ เท่าเดิมครับ แต่เราแค่รู้สึกว่าเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากขึ้น แล้วต่อไปเราต้องจับมือเดินไปพร้อมๆ กัน เวลาจะตัดสินอะไร เวลาจะคิดอะไร คงต้องคุยกันต้องแชร์กันมากขึ้น เพราะว่าแต่ก่อนเป็นเหมือนกับคนละคน แต่พอเราต้องมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว ก็เป็นการเดินไปด้วยกัน อันนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เรารู้สึกว่า เราพร้อมที่จะเดินหน้าไปด้วยกัน”

ทำไมคู่ชีวิตต้องเป็นคนนี้?

“ผมว่าเรามีความคล้ายกันเยอะ แล้วเรามีช่วงเวลาที่เราให้ตัวเอง แล้วก็มีช่วงเวลาที่เราโหยหากัน ถ้าพูดภาษาสวยงามก็เหมือนกับว่าเราถูกสร้างมาให้เราอยู่ด้วยกันได้ คู่กันอะไรแบบนี้”

“ส่วนบ้านที่เพิ่งเสร็จ เพิ่งขึ้นบ้านใหม่อันนี้ไม่ใช่เรือนหอ แต่ว่าเป็นบ้านที่ผมสร้างอยู่ เป็นบ้านของผมอยู่เองแล้วก็เป็นบ้านที่ให้คุณพ่อคุณแม่แล้วก็ญาติมาจากขอนแก่นอยู่ เพราะว่าบ้านเก่าก็คือเป็นบ้านที่เล็กมาก เมื่อเทียบกับอะไรหลายๆ อย่าง เรื่องของใช้ที่เยอะขึ้นประมาณนี้ครับ สำหรับเรือนหออันนี้ยังไม่ได้ดูเป็นจริงเป็นจังว่าจะเลือกโลเคชั่นไหน จะอยู่ที่ไหน ก็เอาสะดวกตอนนี้ก่อน”

“ทริปล่าสุดไปหาพ่อตาที่นอร์เวย์ จริงๆ ก็เป็นโอกาสที่ดีได้ไปอยู่กับเขา เพราะว่าปกติเวลาไปนอร์เวย์ เวลาเจอคุณพ่อก็จะอยู่กันแบบครอบครัว ปกติก็จะอยู่กับคุณแม่อะไรไป แต่พอเราได้ไปอยู่กับผู้ชายที่อยู่ด้วยกันสองคน กินข้าวเช้าด้วยกันออกไปไหนมาไหนด้วยกัน

มีเวลาที่ผู้ชายสองคนได้คุย คนหนึ่งเป็นพ่อ คนหนึ่งเป็นคนที่กำลังจะเข้ามาอยู่ในครอบครัวของเขา ผมว่ามันเป็นโอกาสที่ดีที่เรามีอะไรจะได้คุยกันเปิดใจกัน แม้กระทั่งการที่เขาได้สอนเราในหลายๆ อย่าง ทั้งการใช้ชีวิตคู่อะไรแบบนี้ มันก็เป็นโมเมนต์ที่ดีมากๆ ผมรู้สึกว่าผมมีความสุขมากที่ได้มีโอกาสออกทริปกับเขา จริงๆ ก็ได้คุยกันเปิดอกเลยครับ (หัวเราะ)”

เขาฝากลูกสาวยังไง?

“เขาไม่อะไรครับ เขาก็แค่เป็นกำลังใจให้ซัพพอร์ตแล้วก็เล่าเรื่องอะไรแบบนี้ให้ฟัง คือเราไม่ได้รับฝากอะไรกัน ไม่ได้มีการมอบหมายว่าต้องทำอะไรๆ แค่เราเหมือนคุยกันสัพเพเหระ มองตากันเราก็รู้สึกแล้วว่าความหมายของเขา เขาต้องการอะไรๆ แบบนี้ ส่วนที่โดนแซวเรียกว่าพ่อตาเต็มปาก ผมก็รู้สึกมีความสุขนะ กับการเรียกว่าพ่อตา”

เป็นการสัมภาษณ์ที่ยิ้มตามได้ตลอดเวลาเลยทีเดียวจ้า คนคลั่งรักกันจะหวานๆหน่อย

คลิปอีจันแนะนำ
เจ้านาย พูดแล้ว ปมดราม่าครอบครัว เผยสัมพันธ์ เจ-ปิ่น