บุ๋ม ปนัดดา รับเห็นใจ แม่อ็อฟ ธนกฤต บอกอยากให้ได้รับความยุติธรรม

บุ๋ม ปนัดดา รับเห็นใจ แม่อ็อฟ ธนกฤต บอกอยากให้ได้รับความยุติธรรม งง หลังคู่กรณีเผยไม่มีอาชีพ ไม่มีเงิน แต่ไปเที่ยว ตปท.ได้

เป็นคุณแม่สุดสตรองมากๆ สำหรับ บุ๋ม ปนัดดา ล่าสุดพาลูกสาวสุดที่รัก น้องอันดามัน ไปเที่ยว

มัลดีฟส์ โดยคุณแม่บุ๋มบอกว่า แม้ว่าจะมีลูกชายสุดน่ารักอย่าง น้องอเล็กซ์ แต่คุณแม่ ก็ยังคงให้ความรักและเอาใจใส่ลูกๆเท่าๆกัน เพื่อไม่ให้น้อยใจกัน

นอกจากนี้ บุ๋ม ปนัดดา ยังได้เปิดใจกรณีของ คุณแม่ของ อ็อฟ ธนกฤต ว่า

“ยังคุยกับแม่เขาอยู่เป็นประจำ เพราะแม่อยู่ตัวคนเดียว เขาก็ไม่รู้จะคุยกับใคร อย่างล่าสุดเมื่อวานนี้มีทหารบุกมาบ้านคุณแม่ค่ะ จำได้ใช่ไหมเรื่องเกณฑ์ทหารที่ต้องลากร่างน้องเขาไป ซึ่งบุ๋มก็ถามแล้วตั้งแต่ที่ได้ใบของสัสดีมาว่า แม่จำเป็นเหรอที่ต้องเอาร่างน้องไปอย่างนั้น เพราะถ้าติดเชื้อขึ้นมาใครรับผิดชอบ ถูกไหมคะ แล้วคุณแม่อายุมากแล้ว จะลากน้องไปได้อย่างไร น้องประสบอุบัติเหตุในวันที่น้องเป็นชายหนุ่มร่างใหญ่แล้ว แม่ก็บอกว่านึกภาพไม่ออกเหมือนกันว่าจะไปยังไงในวันนั้น ลองคุยกับสัสดีอีกรอบได้ไหม แม่ก็ไปคุยกับสัสดี ก็ยังยืนยันเสียงแข็ง เสียงแบบทหารกลับมาว่า ไม่ได้ครับ ต้องเห็นตัวน้องแบบเต็มๆ ไม่งั้นปีต่อไปก็ต้องมาอีกครับ เหรอ ไม่มีการประนีประนอมหรือมีแพทย์ทหารมาดูเหรอว่าน้องก็ติดเตียงอยู่อย่างนี้ ใบรับรองแพทย์ก็มี หรือคุณโดนหลอกจนกลัวไปหมด อันนี้เราก็พอจะเข้าใจและเดาได้ แต่มันก็เกินไปสำหรับผู้หญิงแก่ๆ คนนึงที่ต้องแบกผู้ป่วยติดเตียงที่ตัวใหญ่กว่าตัวเองไป แล้วมันก็ดรามาจริงๆ ฉันเตือนคุณแล้วนะคุณสัสดี ฉันถามคุณแล้วนะสัสดีว่ามาดูเองไม่ได้เหรอ เขาบอกเราไม่มีเจ้าหน้าที่ในการไป ทีนี้วันที่เกิดเรื่องอย่างที่ทุกคนเห็น ก็ดรามา เพราะเรื่องของการเกณฑ์ทหารการเป็นประเด็นทางด้านการเมืองเกิดขึ้นด้วย แต่เราไม่ขอแตะตรงนั้น เราขอแตะประเด็นของน้องอ็อฟอย่างเดียว เผื่อประเด็นของครอบครัวอื่นๆ ที่ต้องเจอแบบนี้”

“ทีนี้ทหารก็มาที่บ้านก็มีสื่อมวลชนตามมา เพื่อมาถามทหารว่าทำทำไม เป็นสื่อมวลชนท้องถิ่น ก็เป็นเสียงของสื่อมวลชนถูกไหมคะที่เขามีสิทธิที่จะถาม แต่ทางทหารวิ่งออกจากบ้านไป สื่อก็เลยเอาภาพวงจรปิดที่ทหารหิ้วรองเท้าออกจากบ้านแม่ไป เอาไปลงข่าวว่าบุกไปที่บ้านและวิ่งออกจากบ้านไป หนีสื่อไป เมื่อวานนี้จู่ๆ ทหารก็บุกมาที่บ้านแม่อีก เพื่อมาตามหาตัวสื่อคนนั้นค่ะ จะเอาเรื่อง โดยจะหากล้องวงจรปิดว่าใครมาบ้านในวันนั้น น่ากลัวไหม โดยที่คุณแม่ก็บอกว่ากล้องวงจรปิดคุณแม่ จำนวนวันมันไม่สามารถเมมได้ยาวขนาดนั้น และแม่ก็จำไม่ได้ เพราะสื่อเวียนมาเยี่ยมเยียนแม่เยอะ และในวันที่มีประเด็นก็แทบจะทุกช่องที่ไปเยี่ยมแม่ ไปสัมภาษณ์คุณแม่ แม่จำไม่ได้หรอกว่าอันไหนเอาไปบ้าง ที่ถ่ายจากหน้าจอไป ดังนั้นมันยกไปแล้ว แม่ก็ตอบของแม่ซื่อไปอย่างนั้น ก็เอามาเล่าให้ฟังนะพี่ทหาร แต่ดิฉันมีหน้าคุณแล้วนะคะ เห็นแล้วค่ะว่าใครมาอยู่ในบ้านแม่วันนั้นบ้าง”

“พี่ทหารโทร.มาวันนั้น เสียงเข้มเชียว จะเอามาเปิดตรงนี้เดี๋ยวจะโดนหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่คุณเสียงเข้มใส่แม่อย่างนั้นไม่ได้ แม่ไม่ผิดอะไร คุณต้องเข้าใจว่าฝั่งคุณผิดเองที่คุณเพิ่งมาบอกทีหลังว่าจริงๆ แล้วสามารถอยู่ที่บ้านได้ และมีเจ้าหน้าที่มาดู คุณต้องคุยกับสัสดีทั้งประเทศให้ได้ว่ากฎระเบียบมันมีการผ่อนปรนยังไงบ้าง แต่ไม่ใช่มาทำกับแม่และสื่อมวลชนแบบนี้ ในฐานะสื่อเองเรารู้สึกยังไง เรารู้สึกไม่ปลอดภัยกับสิ่งแบบนี้ในการนำเสนอข่าวทั้งที่มันคือความจริง ดิฉันก็ไม่รู้หรอก แต่ดิฉันมีหน้าที่เหมือนสื่อคนนึงที่อยากจะแค่ช่วยเหลือผู้หญิงคนนึงที่อายุเยอะแล้ว และมีลูกเป็นผู้ป่วยติดเตียง ส่วนความยุติธรรมก็เป็นเรื่องของกระบวนการทางกฎหมายต่อไป”

“เขาจะมาเอาผิดสื่อ ที่เอาคลิปที่เขาหิ้วรองเท้าหนีไปลงค่ะ เอาจะมาเอาผิดสื่อคนนั้นค่ะ แทนที่จะแก้ที่ต้นเหตุ กลับไปจัดการกับสื่อ และคุณแม่ก็รู้สึกไม่ปลอดภัยค่ะ คุณแม่ก็ไม่ได้ผิดอะไร คุณแม่ก็ทำตามกฎเกณฑ์อย่างเต็มที่ เขาอุตส่าห์พาน้องไปอย่างเต็มที่ และน้องก็มีอาการที่อ่อนแอลง และหลังจากนั้นน้องต้องไปหาหมอเลยนะคะ เพราะวันที่เกณฑ์ทหารร้อนมากๆ นะคะ และน้องได้รับฝุ่นเต็มๆ ค่ะ”

“อาการน้องตอนนี้ยังคงที่ค่ะ ไม่ได้ดีขึ้นเท่าไหร่ แต่คุณแม่ก็ยังสู้และยังมีความหวังอยู่ค่ะ ส่วนเรื่องของคดีคุณแม่ก็เครียดอยู่ เพราะความเป็นจริงแม่แค่ต้องการอยากได้รับความยุติธรรมจากผู้หญิงคนนั้นที่ทำ แต่ทางกฎหมาย ทางศาลท่านกลับบอกว่าคุณแม่ได้รับเงินบริจาคเยอะแล้ว คุณแม่ก็ไม่จำเป็นต้องรับเงินตรงนี้นี่ ไม่เกี่ยวนะคะ นี่คือความที่มันมีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นกับคดีนี้ค่ะ”

“เรื่องคดียังไม่สิ้นสุดค่ะ ยังมีการต่อรองกันอยู่ โดยที่ผู้หญิงคนนั้นบอกว่าเขาไม่มีอาชีพ เขาไม่มีเงิน เขาไม่มีตังค์จ่ายค่ะ แต่เขามีเงินไปเที่ยวต่างประเทศค่ะ ส่วนค่าเสียหายก็คิดตามโอกาสของน้องที่จะได้ทำงานในวงการบันเทิงค่ะ และการรักษาผู้ป่วยติดเตียงที่ผ่าตัดสมอง มันไม่ใช่เรื่องง่ายค่ะ ค่าแพมเพิส ค่าอาหารเหลว ค่าอะไรต่างๆ เยอะมากนะคะที่มันเกิดขึ้น ดังนั้นคุณแม่ก็คิดค่าตามจริงตามที่คำนวณเลยค่ะ แต่เขาไม่ให้เลยค่ะ คือได้มาแค่นิดหน่อยค่ะ ได้ประมาณ 3 หมื่นแรกเท่านั้นเองค่ะ และเขาก็บอกเขาไม่มีตังค์ คดีก็ยังยาวอยู่ค่ะ อยากให้ได้รับความยุติธรรมและจบโดยเร็วที่สุดค่ะ”

แอดเชื่อว่าหลายคนที่ติดตามข่างนี้ก็คงเอาใจช่วยให้น้อง และ คุณแม่ ได้รับความยุติธรรมโดยเร็ว ในเรื่องของคดีนั้น คงต้องติดตามกันต่อไปนั่นเองค่ะ

คลิปอีจันแนะนำ
เฮเลน ปวรา รับเคยไม่ถูกกับ เอ ศุภชัย พร้อมเล่าวรีกรรม