สธ.สั่งจับตา โรคระบาดไม่ทราบชนิด ในอัฟกานิสถาน พบป่วยแล้วกว่า 500 ดับ 2 ราย

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข สั่งจับตาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไม่ทราบชนิดในอัฟกานิสถาน หลังมีผู้ป่วยแล้วกว่า 500 ราย เสียชีวิต 2 ราย

จากกรณีที่สื่อต่างประเทศได้รายงานข่าวเกี่ยวกับโรคระบาดไม่ทราบชนิด หรือ โรคติดเชื้อไม่ทราบชนิดในประเทศอัฟกานิสถาน หลังพบผู้ป่วยแล้วกว่า 500 ราย เสียชีวิต 2 ราย นั้น 

วันที่ 9 ต.ค. 67 นายแพทย์ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล อธิบดีกรมควบคุมโรค เผยถึงสถานการณ์ดังกล่าวว่า จากข่าวการแพร่ระบาดของโรคที่ไม่ทราบชนิดในประเทศอัฟกานิสถาน มีผู้ติดเชื้อมากกว่า 500 ราย เสียชีวิต 2 ราย โดยจะมีอาการส่วนใหญ่ คือ อ่อนแรง อ่อนเพลีย ปวดมือและเท้าอย่างรุนแรง ท้องเสียรุนแรง และมีไข้สูงลอยนั้น กรมควบคุมโรค ไม่นิ่งนอนใจ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยกองด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศและกักกันโรค ได้แจ้งสายการบิน ประสานนักบินและลูกเรือที่ทำการบินในเส้นทางใกล้เคียงให้เฝ้าระวังและสังเกตอาการตนเองและผู้โดยสาร รวมถึงสวมหน้ากากอนามัยและใส่ถุงมือขณะจัดเก็บอาหารและเครื่องดื่มของผู้โดยสาร และขณะทำความสะอาดห้องน้ำทุกครั้ง 

ในส่วนมาตรการการเฝ้าระวังผู้เดินทางที่ช่องทางเข้าออก ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต อู่ตะเภา และหาดใหญ่ ให้เฝ้าระวังผู้เดินทางที่มาจากอัฟกานิสถาน หากมีไข้สูงหรือพบผู้เดินทางที่มีอาการเข้าได้กับโรคดังกล่าว ให้รับการคัดกรองเพิ่มเติม ณ ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศฯ เพื่อประเมินอาการและจัดการต่อไป 

อย่างไรก็ตามมีข้อมูลเพิ่มเติมจากองค์การอนามัยโลกภูมิภาคแอฟริกา (WHO African Region) พบการระบาดของโรคดังกล่าว  ในหมู่บ้านคาฟชาน อำเภอชินวารี จังหวัดปาร์วัน ประเทศอัฟกานิสถาน ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการเข้าได้กับโรคไข้ไทฟอยด์ และได้ค้นหาผู้ป่วยเพิ่มเติมในศูนย์สุขภาพชุมชนคาฟชาน ตั้งแต่วันที่ 12 กันยายน 2567 พบผู้ป่วยสงสัย 33 ราย เป็นชาย 13 ราย หญิง 20 ราย ไม่พบรายงานผู้เสียชีวิต ทั้งนี้ ผู้ป่วยทั้งหมดอยู่ภายใต้การรักษาของศูนย์สุขภาพชุมชนคาฟชาน 

“หากพิจารณาอาการของผู้ป่วยจากรายงานข่าว เห็นได้ว่ามีอาการเข้าได้กับโรคไข้ไทฟอยด์ หรือ ไข้รากสาดน้อย เป็นโรคที่มีการแพร่ระบาดมานานแล้ว เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Salmonella typhi ติดต่อโดยการรับประทานอาหารหรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น ผักสด ผลไม้ที่รับประทานทั้งเปลือก น้ำดื่มที่ไม่สะอาด หรือสัมผัสกับผู้ที่มีเชื้อ” นายแพทย์ภาณุมาศ กล่าว 

สำหรับโรคไข้ไทฟอยด์นั้นมีข้อมูลเพิ่มเติมว่าผู้ติดเชื้อจะมีอาการ ไข้สูง ร่วมกับมีอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย อาจมีผื่น ถ่ายเหลวหรือท้องผูก บางรายอาจมีไข้นาน 3 – 4 สัปดาห์ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ เช่น เลือดออกในทางเดินอาหาร ลำไส้ทะลุ หรือตับม้ามโต ซึ่งโรคไข้ไทฟอยด์สามารถป้องกันได้ ดังนี้ 1.ยึดหลัก สุก ร้อน สะอาด รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ บริโภคน้ำดื่ม น้ำแข็ง ที่สะอาดได้มาตรฐาน หมั่นล้างมือเป็นประจำ 2.หากรับประทานอาหารที่ปรุงสุกไว้แล้วหรืออาหารค้างมื้อ ควรนำมาอุ่นให้ร้อนก่อนรับประทานทุกครั้ง 3.ภาชนะที่ใช้สำหรับอาหารที่ปรุงสุกแล้ว ควรแยกจากอาหารหรือวัตถุดิบที่ยังไม่ปรุงสุก เพื่อไม่ให้เกิดการปนเปื้อนของเชื้อก่อโรค 4.ปรับปรุงสุขาภิบาลด้านสถานที่สำหรับการเตรียม ปรุง และประกอบอาหาร ห้องน้ำห้องส้วมควรให้ถูกหลักสุขาภิบาล กำจัดขยะมูลฝอย เศษอาหาร และสิ่งปฏิกูล เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์แมลงวันและป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค 

ทั้งนี้ ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคไข้ไทฟอยด์ โดยแนะนำให้ให้ฉีดในผู้ที่จะเดินทางไปในประเทศกลุ่มเสี่ยง หรือผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นพาหะของโรค หรือบุคลากรที่ทำงานในห้องปฏิบัติการ หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถสอบถามได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422