สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ย้ำ วัคซีนเข็มกระตุ้น ลดป่วยหนัก-ตายจากโควิด

สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ยืนยัน การฉีด วัคซีนเข็มกระตุ้น ลดป่วยหนัก-ตาย-Long Covid ได้

เมื่อวันที่ 14 เม.ย. 65 มีรายงานว่า สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ออกแถลงการณ์ เกี่ยวกับเรื่อง ความจำเป็นของการได้รับ วัคซีนโควิด เข็มกระตุ้น โดยมีใจความระบุว่า

ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อออนไลน์ว่า ไม่มีความจำเป็นต้องเข้ารับการฉีด วัคซีนโควิด เข็มกระตุ้น การปล่อยให้ติดเชื้อไวรัส โอมิครอน มีความปลอดภัย และเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันโรคตามธรรมชาตินั้น

สถาบันมีความห่วงใยต่อประชาชนที่ได้รับการส่งต่อข้อมูลที่มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนดังกล่าวอย่างมาก ซึ่งทางสถาบันขอยืนยันว่า การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ในสถานการณ์ที่ไวรัสมีการกลายพันธุ์อย่างรวดเร็วนั้น มีความจำเป็นอย่างมาก โดยการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นจะช่วยลดอาการป่วยที่รุนแรง ลดโอกาสการเสียชีวิต และลดโอกาสการเกิดภาวะ Long COVID ในผู้ใหญ่ รวมถึงภาวะอักเสบทั่วร่างกายในเด็ก (Mis-C) จากการป่วยด้วยโควิด ได้จริง

ทั้งนี้ วัคซีนเข็มกระตุ้น สามารถลดอาการเหล่านี้ลงได้มากกว่าผู้ป่วยที่ไม่เคยฉีดวัคซีนเลย หรือ ฉีดวัคซีนแล้ว แต่ไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นอย่างเห็นได้ชัด

ทั้งนี้ การฉีด วัคซีนโควิด เข็มกระตุ้น มีการดำเนินอย่างกว้างขวาง ทำให้มีรายงานยืนยันความปลอดภัยและประสิทธิผล ของการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นจำนวนมากจากหลายประเทศทั่วโลก โดยในประเทศไทยได้มีการเก็บข้อมูลเพื่อการศึกษาประสิทธิผลของวัคซีนที่ใช้ในประเทศด้วยเช่นกัน ผลการศึกษาในปัจจุบัน (ข้อมูลการประเมินประสิทธิผลวัคซีนจากการใช้จริง จ.เชียงใหม่ ช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค. 65 ณ วันที่ 8 เม.ย. 65) ระบุว่า

“ในสถานการณ์การระบาดของ โอมิครอน การฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม ไม่ป้องกันการติดเชื้อ แต่สามารถป้องกันการเสียชีวิตได้มากกว่า 85% และหากได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ในระยะเวลาที่เหมาะสม สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ 34-68% และเพิ่มการป้องกันการเสียชีวิตได้ถึง 98-99% และเมื่อมีการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเข็มที่ 4 เมื่อครบกำหนดการเข้ารับวัคซีน พบว่า สามารถป้องกันการติดเชื้อได้สูงถึง 80-82% โดยยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตจากโควิด 19 ในกลุ่มผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 4”

ทั้งนี้ จากผลการประเมินประสิทธิผลวัคซีนจากการใช้จริงในระดับโลก ทำให้องค์การอนามัยโลกได้ออกประกาศสนับสนุนให้ประชาชนเข้ารับ วัคซีนโควิด เข็มกระตุ้น เพื่อลดอัตราการป่วยหนัก และเสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัส โอมิครอน ด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ของประเทศไทยในปัจจุบัน พบว่า ความครอบคลุมการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นโดยรวมยังค่อนข้างน้อย โดยมีความครอบคลุมของการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเพียง 35% เท่านั้น (ข้อมูลระดับประเทศ ณ วันที่ 8 เม.ย.)

และจากการเก็บข้อมูลของผู้ที่มีอาการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตจากโควิด พบว่า ยังคงเป็นประชากรในกลุ่ม 608 ได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป กลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว 7 โรค คือ

-โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง

-โรคหัวใจและหลอดเลือด

-โรคไตวายเรื้อรัง

-โรคหลอดเลือดสมอง

-โรคอ้วน

-โรคมะเร็ง

-โรคเบาหวาน

รวมถึงกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป ในอัตราส่วนที่สูงกว่าประชากรกลุ่มอื่น โดยพบว่า ประชากรใรกลุ่ม 608 ยังมีการเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นค่อนข้างต่ำ

สถาบันจึงขอเชิญชวนประชาชนทั่วไป และโดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีโรคร่วม 7 กลุ่มโรค และหญิงตั้งครรภ์ ที่ยังไม่เคยฉีดวัคซีนโควิด มาก่อน ให้เข้ารับการฉีด วัคซีนโควิด เข็มแรก และเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ตามกำหนดนัดหมาย หากได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 มาแล้วนานกว่า 3 เดือน ให้รีบเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 และหากได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 มาแล้ว เป็นเวลา 4 เดือนขึ้นไป ให้รีบเข้ารับวัคซีนเข็มที่ 4

นอกจากนี้ การสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือ ยังคงเป็นมาตรการสำคัญ ที่เมื่อปฏิบัติควบคู่กับการฉีดวัคซีนจะช่วยควบคุมการระบาดของโรค ลดโอกาสการกลายพันธุ์ของไวรัส และลดความเสี่ยงของการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตจากโควิด ได้อย่างมีประสิทธิผลอีกด้วย

คลิปแนะนำอีจัน
ช่วยแมว 160 ตัว