โควิดสายพันธุ์ JN.1 มันร้าย! ปรับตัวคล้าย “ไวรัสเมอร์ส” แล้ว

โควิดสายพันธุ์ JN.1 มันร้าย! ปรับตัวคล้าย “ไวรัสเมอร์ส” แล้ว
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ เผยข้อมูล JN.1 กำลังปรับตัวจากติดเชื้อที่ปอดไปสู่การติดเชื้อที่ลำไส้

โอ้โห! โควิดพันธุ์ JN.1 มันร้าย! ปรับตัวคล้าย “ไวรัสเมอร์ส” แล้ว

วันที่ 24 ธ.ค.66 ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ – คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics เกี่ยวกับพัฒนาการของโควิด-19 สายพันธุ์ JN.1 ว่า มีการปรับตัวอย่างต่อเนื่องเพื่อแพร่ระบาด ว่า…

ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกประเมินว่าโอมิครอน JN.1 กำลังปรับกลยุทธ์ด้วยการกลายพันธุ์ส่วนหนามแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน กล่าวคือปรับส่วนหนามจากเดิมที่จะจับจำเพาะกับเซลล์เยื่อบุปอดให้สามารถแพร่ลงลึกจับกับเซลล์เยื่อบุลำไส้ร่วมด้วยคล้ายกับ “ไวรัสเมอร์ส (MERS)” เพราะหลายประเทศตรวจพบโอมิครอน JN.1 ในน้ำเสียที่ปนเปื้อนอุจจาระและปัสสาวะเพิ่มมากขึ้น โดยคาดว่าโอมิครอน JN.1 จะมีการแพร่ไปทั่วโลกปลายปีนี้ต่อต้นปีหน้า

ทั้งนี้ แม้จะยังไม่มีข้อพิสูจน์โดยตรงที่แน่ชัดว่าโอมิครอน JN.1 จะทำให้เกิดปัญหาการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับโอมิครอนสายพันธุ์ก่อนๆ แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายสถาบันสังเกตเห็นแนวโน้มจากการตรวจพบโอมิครอน JN.1 ในน้ำเสียเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในหลายประเทศทั่วโลก เช่น ออสเตรีย เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ อินเดีย และสิงคโปร์ รวมทั้งในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา

การเฝ้าติดตามการเพิ่มจำนวนและการอุบัติขึ้นของสายพันธุ์เก่าและใหม่ของเชื้อโควิด-19 จากน้ำเสียที่ยังไม่ได้บำบัด (wastewater surveillance of SARS-CoV-2) จากแหล่งชุมชนที่มีการปนเปื้อนปัสสาวะและอุจจาระจากผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่มีและไม่มีอาการ โดยสามารถตรวจจับเชื้อไวรัสโควิด-19 จากน้ำเสียได้ก่อนที่จะมีผู้ป่วยปรากฏให้เห็นในสถานพยาบาลประมาณ “1-2 สัปดาห์” ทำให้การตรวจเชื้อโควิด-19 จากน้ำเสียเป็นเครื่องมืออันทรงประสิทธิภาพสำหรับการเตือนภัยล่วงหน้าและการติดตามการระบาดของโควิด-19 รวมทั้งโรคติดเชื้ออุบัติซ้ำหรืออุบัติใหม่อื่นๆ

เนื่องจากโอมิครอน JN.1 ได้รับการจัดให้เป็นสายพันธุ์ที่น่าสนใจ หรือ “Varian of interest ” โดยองค์การอนามัยโลกเมื่อ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2566 ทำให้มีการตรวจหาโอมิครอน JN.1 ในน้ำเสียร่วมด้วย โดยพบข้อมูลดังนี้

-ในสหรัฐอเมริกา ตรวจพบโอมิครอน JN.1 ในตัวอย่างน้ำเสียจากหลายรัฐในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2566 ซึ่งช่วยให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขระบุการระบาดที่อาจเกิดขึ้นได้ก่อนที่จะลุกลาม

-ในสิงคโปร์ มีการตรวจพบโอมิครอน JN.1 ในตัวอย่างน้ำเสียเมื่อต้นเดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 ซึ่งส่งผลให้มีการทดสอบและเฝ้าระวังเพิ่มขึ้นในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ

-ในอินเดีย ตรวจพบโอมิครอน JN.1 ในตัวอย่างน้ำเสียจากรัฐปุเณ ต้นเดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 ส่งผลให้หน่วยงานภาครัฐเพิ่มการเฝ้าระวังและติดตามเพิ่มมากขึ้นในรัฐมหาราษฏระและเกรละ ซึ่งเป็นที่ซึ่งมีผู้ป่วยโรคโควิด-19 เพิ่มขึ้น

-ในประเทศไทย ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ ร่วมมือกับสำนักงานวิจัย วิชาการและนวัตกรรม รพ. รามาธิบดี เคยตรวจไวรัสโคโรนา 2019 จากน้ำเสียในช่วงที่สายพันธุ์เดลตา และโอมิครอนดั้งเดิมกำลังระบาด สามารถเริ่มการตรวจกรองน้ำเสียเพื่อคัดกรองโอมิครอน JN.1 ได้หากมีความจำเป็น

ทั้งนี้ การศึกษาในอดีต พบว่า ไวรัสเมอร์ส (Middle East Respiratory Syndrome: MERS) เป็นไวรัสโคโรนาตระกูลหนึ่งที่มีจุดเด่นในการติดเชื้อที่เซลล์เยื่อบุระบบทางเดินอาหารเป็นการเฉพาะ และเร็วๆ นี้พบว่าการกลายพันธุ์บางตำแหน่งบนจีโนมของโอมิครอน JN.1 ไปคล้ายกับไวรัสเมอร์ส อันอาจทําให้มีพันธุกรรมที่เอื้อต่อการติดเชื้อในเซลล์เยื่อบุลำไส้ สังเกตจากหลายประเทศขณะนี้ตรวจพบโอมิครอน JN.1 ในน้ำเสีย(ที่ปนเปื้อนอุจจาระปัสสาวะ) เพิ่มมากขึ้นอันบ่งชี้ว่าโอมิครอน JN.1 มีการกลายพันธุ์เพื่อหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันในบริเวณ “เซลล์เยื่อบุปอด” อันสืบเนื่องมาจากการฉีดวัคซีนหรือการติดเชื้อโควิดตามธรรมชาติ ไปเพิ่มจำนวนในบริเวณ “เซลล์เยื่อบุลำไส้” แทน

การที่ไวรัสเปลี่ยนแปลงเซลล์เป้าหมาย (viral tropism) จากเซลล์เยื่อบุปอดมาเป็นเซลล์เยื่อบุลำไส้ของโอมิครอน JN.1 คาดว่าช่วยให้ไวรัสไม่ถูกจับและทำลายจากแอนติบอดี้ในปอด โดยอาจส่งผลกระทบต่อการเกิดโรคและการแพร่กระจายของเชื้อในอนาคต

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ ระบุว่า ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากโอมิครอน JN.1 สามารถติดเชื้อในเซลล์เยื่อบุลำไส้ คือ

-มีอาการทางระบบทางเดินอาหาร  ผู้ที่ติดเชื้อโอมิครอน JN.1 อาจมีอาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องร่วง คลื่นไส้ และอาเจียน อาการเหล่านี้อาจพบได้บ่อยหรือรุนแรงกว่าโอมิครอนสายพันธุ์ อื่นๆ

-ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการแพร่เชื้อ หากโอมิครอน JN.1 สามารถแพร่เชื้อในลำไส้ได้ ก็อาจหลั่งออกมาทางอุจจาระได้ สิ่งนี้อาจเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไวรัสจากคนสู่คน

-โรคที่รุนแรงมากขึ้น ในบางกรณี ไวรัสที่สามารถติดเชื้อในลำไส้อาจทำให้เกิดโรคที่รุนแรงยิ่งขึ้นได้ เนื่องจากลำไส้เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ที่มีเซลล์ภูมิคุ้มกันจำนวนมาก ซึ่งสามารถตกเป็นเป้าหมายของไวรัสเข้าทำลายได้

ดังนั้นจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อทำความเข้าใจผลกระทบทั้งหมดของความสามารถของโอมิครอน JN.1 ในการติดเชื้อกับเซลล์เยื่อบุลำไส้

ระหว่างที่เรากำลังเฝ้าติดตามพัฒนาการของเชื้อโควิด-19 ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป

การป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อโควิด-19 ยังเป็นสิ่งสำคัญนะคะ โดยฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ครบตามกำหนด สวมหน้ากากอนามัยในที่ที่มีผู้คนหนาแน่น กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ และเว้นระยะห่างทางสังคม

คลิปอีจันแนะนำ

นาทีชีวิต! ชาวบ้านหนีตาย น้ำท่วมนราธิวาส