มูลนิธิปวีณา หารือ แนวทางแก้ปัญหาใน เด็กและสตรี ร่วมกับ ชัชชาติ

มูลนิธิปวีณา หารือ แนวทาง และนโยบาย แก้ปัญหาใน เด็กและสตรี ร่วมกับชัชชาติ

มูลนิธิปวีณาฯ หารือ นโยบาย และแนวทางพัฒนา เพื่อเด็ก และสตรี ร่วมกับนายชัชชาติ และดร.ยุ้ย

วันนี้ (24 ก.พ. 65) มูลนิธิปวีณา หงสกุล เพื่อเด็กและสตรี ได้จัดประชุม เพื่อหารือ แนวทางพัฒนาและนโยบาย เพื่อเด็กและสตรี

ซึ่งการหารือครั้งนี้ เนื่องมาจากปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม ทั้งปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ข่มขืนอนาจาร ยาเสพติด และค้ามนุษย์

โดยเฉพาะปัญหาการข่มขืนที่เกิดขึ้นในเด็กอายุน้อยสุด เพียง 10 เดือน จากสถิติ ปี 2564

หลังร่วมกันหารือ นโยบาย และแนวทางพัฒนา เพื่อเด็ก และสตรี ทางมูลนิธิปวีณาฯ เสนอสโลแกน “รุก รับ รวดเร็ว และติดตามประเมินผล” เพื่อนำมาปรับใช้กับการทำงานในยุคปัจจุบัน

1. รุก คือ ต้องมีหน่วยงานเคลื่อนที่เข้าไปตรวจตราในชุมชน และเมื่อเห็นปัญหาให้เข้าช่วยเหลือทันที

2. รับ คือ เมื่อพบเห็นถึงปัญหานั้นแล้ว ให้รับมาเพื่อให้การช่วยเหลือต่อไป

3. รวดเร็ว คือ การช่วยเหลืออย่างฉับไว ให้ทันต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

4. ติดตามประเมินผล คือ เมื่อรับปัญหาที่เกิดขึ้นกับบุคคลใดมาช่วยเหลือแล้ว ต้องมีหน่วยงานคอยติดตาม และประเมินผลการช่วยเหลือด้วย

ดร.ยุ้ย กล่าวว่า จากที่ได้ประชุมกับนางปวีณาแล้ว พบว่า ตัวเลขการข่มขืน สูงขึ้นตามปัญหาเศรษฐกิจอย่างเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจาก หลายครอบครัว พ่อแม่/ผู้ปกครองต้องออกไปทำงาน มีเพียงเด็กๆ อยู่ที่บ้านลำพัง นำมาสู่ปัญหาดังกล่าวได้ง่ายขึ้น

จึงอยากให้ความสำคัญกับปัญหานี้ เพื่อรองรับคนกลุ่มนี้ และที่สำคัญ นโยบายต้องครอบคลุมคนทุกกลุ่ม เพราะแต่ละกลุ่ม จะเจอปัญหาที่แตกต่างกัน

ด้านนายชัชชาติ กล่าวว่า นโยบายที่สามารถทำได้เลย คือ

1. จัดตั้งศูนย์เด็กเล็ก กทม.เพื่อดูแลเด็กหลังเลิกเรียน รอผู้ปกครองมารับกลับบ้าน

2. จัดตั้งศูนย์เด็กอ่อน กทม.เพื่อช่วยดูแล ให้ความรู้กับครอบครัวที่ไม่พร้อมดูแลเด็ก

3. สร้างโรงเรียนเด็กพิการ กทม. สำหรับเด็กที่ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด และพิเศษกว่าเด็กปกติทั่วไป

4. จัดตั้งศูนย์ดูแลผู้สูงอายุที่ถูกทอดทิ้ง เพื่อช่วยดูแลคนกลุ่มนี้ในช่วงกลางวัน

5. บ้านพักพิงเด็กที่ถูกทอดทิ้ง

6. ศูนย์บำบัดยาเสพติดครบวงจร 24 เดือน ในกทม. และทุกจังหวัด เพื่อไม่ให้ผู้เสพย้อนกลับไปใช้ชีวิตในวังวนของการเสพยาเหล่านี้อีก

7. จัดตั้งคณะกรรมการดูแลสังคมในชุมชน

8. เปิดสายด่วน ช่วยเหลือสังคม กทม. 24 ชั่วโมง โดยจะเสนอให้ลงนาม MOU.กับหน่วยงานของภาครัฐ มูลนิธิต่างๆ ภาคเอกชนที่ช่วยเหลือสังคม บูรณาการร่วมกันให้เป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ ดร.ยุ้ย ได้กล่าวเสริมว่า สิ่งที่ควรเพิ่มในการศึกษาภายในโรงเรียน คือ ศูนย์การเรียนรู้เรื่องทางเพศ เนื่องจาก ประเทศไทย มีเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ตั้งครรภ์แบบไม่พร้อมสูงถึง 3% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในเอเชีย

หากนำนโยบายนี้ มาปรับใช้กับปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมไทยได้ในเร็วๆ นี้ ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมจะลดลงไปได้มากเลยทีเดียว

อีจันขอเป็นส่วนหนี่งในการช่วยประชาสัมพันธ์ แนวทางการแก้ไขปัญหาสังคมในครั้งนี้ด้วยนะคะ

คลิปแนะนำอีจัน
อยากกิน เเต่ทำใจซื้อไม่ได้ #มังคุดกิโล500