นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ (รมว.กก.) นำทัพธรุกิจการท่องเที่ยว ฟื้นสัมพันธ์กับประเทศซาอุดีอาระเบีย ในรอบ 30 ปี
วันนี้ (18 ก.พ. 65) เวลาประมาณ 10.00 น. ไทยจัดประชุม ร่วมหารือ ฟื้นสัมพันธ์ ซาอุดีอาระเบีย
โดยมี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ นำประชุมหารือเเนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ
ซึ่งเมื่อวันที่ 25-26 ม.ค. 65 ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียของ ตามคำเชิญของ เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูดมกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซาอุดีอาระเบีย เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปี เพื่อส่งเสริมและกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างกัน
นับตั้งแต่การพบหารือ 3 ฝ่าย ในช่วงการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย (เอซีดี) ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 9-10 ตุลาคม 2559
ทั้งนี้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไทยพยายามฟื้นความสัมพันธ์กับประเทศซาอุฯ มาโดยตลอด และเริ่มมีพัฒนาการที่ดีขึ้นในช่วงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ที่ใช้เวลาหารือต่อเนื่องมาถึง 6 ปี
3 ประเด็นที่น่าจับตาในการหารือครั้งนี้ คือ
1.การรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัฐบาลไทย
2.การเปิดตลาดแรงงาน ที่จะมีการหารือระหว่างรัฐมนตรีแรงงาน ว่าแรงงานไทยจะได้กลับไปทำงานที่ซาอุฯ อีกครั้งหรือไม่ หลังซาอุดีอาระเบียยกเลิกการทำวีซ่าทำงานคนไทย ตั้งแต่ปี 2532
3.ด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องการค้าการลงทุนระหว่าง 2 ประเทศ ซึ่งอาจรวมไปถึงเรื่องการท่องเที่ยวที่ไทยกำลังเปิดตลาดท่องเที่ยวอยู่ในขณะนี้ด้วย
โดยวันนี้ (18 ม.ค.65) เรื่องที่ได้หารือพิจารณากัน มีดังนี้
1. แนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยว และโอกาสทางการตลาดท่องเที่ยว (ซาอุดีอาระเบียนําเสนอโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย)
2. การเชื่อมโยงเส้นทางการบินระหว่างไทยและ ซาอุดิอาระเบีย
3. การส่งเสริมการท่องเที่ยวตามกลุ่ม ความสนใจพิเศษ
(การท่องเที่ยวกลุ่ม Medical Tourism และ Health & Wellness Tourism)
4. การส่งเสริมการท่องเที่ยวตามกลุ่ม ความสนใจพิเศษ
(การส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น Shopping Paradise)
5. การส่งเสริมการท่องเท่ียวตามกลุ่ม ความสนใจพิเศษ
(การเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการ ธุรกิจท่องเที่ยว (โรงแรม, บริษัทนําเที่ยว) ในการจัดทําแพคเกจท่องเที่ยวสําหรับ ตลาดซาอุดิอาระเบีย)
ซึ่งการฟื้นสัมพันธ์กับซาอุฯ ในครั้งนี้ ถือเป็นเรื่องดี เพราะซาอุฯ เป็นประเทศที่ประชากรมีคุณภาพ อัตราของรายได้สูง และมีสภาพฐานเศรษฐิจที่แข็งแกร่ง
กิจกรรมการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวซาอุฯ คือ การซื้อสินค้าทั้งแบรนด์เนมและสินค้าทั่วไป ทำให้การเงินสะพัดในไทยมากขึ้น
ส่วนสถานที่ท่องเที่ยว ที่นิยมไป ได้แก่ ทะเล ชายหาด สถานบันเทิง และธรรมชาติ
ที่สำคัญ มีนักท่องเที่ยวจากซาอุฯ เดินทางมาเข้ารับการรักษาพยาบาลในประเทศไทยสูง เฉลี่ย 30% ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด/ปี
การฟื้นสัมพันธ์กับซาอุฯครั้งนี้ ดีอย่างไร?
1. เริ่มวางแผนกิจกรรมประชาสัมพันธ์ และเสนอขายประเทศไทย ในพื้นที่ตลาดประเทศซาอุฯ
โดยร่วมมือกับ 3 สายการบินหลักในพื้นที่ตะวันออกกลาง (Emirates Airlines, Qatar Airways และ Etihad Airways)
2. สายการบิน Saudi Airlines และบริษัทการบินไทย เป็นอีก 2 สายการบินที่น่าจับตา หากสามารถเปิดเส้นทางการบินตรง ระหว่าง 2 ประเทศได้จริง (ไทย-ซาอุฯ)
3. ผู้ประกอบการธุรกิจการท่องเที่ยวในซาอุฯ ส่วนใหญ่ ต้องการข้อมูลเกี่ยวกับ Tourism Product ใหม่ๆ เพื่อนำเสนอขายให้กับกลุ่ม Family, Millennial, Romance, Health & wellness
ดังนั้น หากมีโอกาส ควรจัดสัมมนาให้ความรู้เรื่องการท่องเที่ยวไทย ในกลุ่มดังกล่าวของซาอุฯ
4. นำแรงงานไทยกลับเข้าไปทำงานในซาอุฯ เนื่องจาก ซาอุฯ ถือเป็นตลาดแรงงานใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง และเคยเป็นตลาดแรงงานไทยที่สำคัญแห่งหนึ่ง ในอดีตเคยมีแรงงานไทยเข้าไปทำงานถึง 300,000 คน ส่งรายได้กลับเข้ามาในประเทศถึง 9,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข จะให้นักท่องเที่ยวจากซาอุฯ ที่เดินทางเข้าไทย ทั้งรูปแบบ Test & Go และ Thailand Pass เข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด ด้วยวิธี RT-PCR 2 ครั้ง คือ ครั้งแรกที่ถึงไทย และถัดไปอีก 5 วัน
ซึ่งทางกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เล็งเห็นว่า ควรยกเลิกการตรวจหาเชื้อโควิด ด้วยวิธี RT-PCR ครั้งที่ 2 หรือถัดจากครั้งแรก 5 วัน เป็นการตรวจด้วย ATK
ขั้นนี้ ยังอยู่ระหว่างการหารือกัน
หากมีความคืบหน้า อีจันจะรีบอัปเดตให้ทุกคนทราบต่อไป