รอย้ายบ้าน 4 คุณยาย ร้องไห้ทุกวัน หวังให้ เจ้าของที่ดินคนใหม่ ยอมขายที่คืน

นับถอยหลังอีกไม่ถึง 30 วัน 4 คุณยาย รอย้ายบ้าน หวังปาฏิหาริย์ เจ้าของที่ดินคนใหม่ ยอมขายที่คืน

เป็นข่าวที่ใครอ่านก็บีบหัวใจค่ะ หญิงชราวันไม้ใกล้ฝั่งทั้ง 4 คน ร้องไห้ ยกมือไหว้วิงวอน ขอให้ใครก็ได้ ช่วยให้ห้วงเวลาสุดท้ายของพวกเธอทั้ง 4 ได้อยู่ต่อ เเละได้ตายบนที่ดินผืนมรดกบรรพบุรุษ เคสนี้จึงสะเทือนหัวใจของคนในสังคม เรื่องของกฎหมายเป็นเรื่องหนึ่ง เรื่องความเห็นอกเห็นใจเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนเรื่องความมีมนุษยธรรมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เช่นกัน หลายฝ่ายที่เข้ามาพัวพันเรื่องนี้ ในบทบาทที่ต่างๆ กัน ล้วนน่าเห็นใจทุกฝ่ายค่ะ เรื่องนี้สะท้อนอย่างหนึ่ง คือ กระบวนการค้าเเรงงานไทยไปเป็นเเรงงานเถื่อนต่างชาติ ยังไง ?

ตลอดระยะการทำข่าวมา 10 กว่าปี ได้ลงพื้นที่ทำข่าวนี้อยู่หลายครั้งค่ะ กระบวนการค้าเเรงงานไทยไปเป็นเเรงงานเถื่อนต่างชาติ เหยื่อมักเป็นกลุ่มผู้ใช้เเรงงานในต่างจังหวัด ส่วนมากเป็นภาคเหนือเเละอิสาน วิธีการคือ หลอกว่าจะมีชีวิตที่ดีกว่า ได้เงินเยอะกว่า กลับมาสร้างบ้านใหญ่โต หากไปทำงานต่างประเทศ ปีเดียวรู้เรื่อง รวยเลย ส่วนใหญ่ทราบว่า ต้องไปทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม หรือ เก็บผลไม้ในฟาร์มใหญ่ๆ ค่าเเรงดี สวัสดิการดี เเต่มันมีค่าใช้จ่ายที่ต้องลงทุนไปก่อนนะ เเล้วค่าอะไรบ้าง ?

ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าที่พักล่วงหน้า รวมทั้งต้องจ่ายค่านายหน้าด้วย ซึ่งเบ็ดเสร็จไม่ใช่หลักหมื่นนะคะ หลักสามสี่เเสน เเล้วจะทำยังไง ? บ้านมีที่นาไหม มีที่ดินไหมหล่ะ ก็เอาไปจำนำ จำนอง หรือ ขายฝาก ซึ่งส่วนมากเป็นอย่างหลัง ณ เวลาที่ต้องการเงิน ส่วนมากก็ไม่ได้ดูว่า สัญญาที่ทำเป็นสัญญารูปแบบใด เซ็นชื่อ ปั๊มลายนิ้วมือ รับเงิน ดีใจก็เอาเงินทั้งหมดส่งให้นายหน้า นายหน้าบางคนส่งบินไปจริง เเต่ไม่มีงาน งานไม่เป็นตามที่ตกลงขายฝันไว้ให้ บางรายเเย่กว่านั้น นายหน้ารับเงินเเล้วหาย เเม้เเต่ตั๋วเครื่องบินก็ไม่ได้เห็น เหยื่อต้องตกในภาวะต้องใช้หนี้นายทุน เป็นมรสุมชีวิต ทุกข์ทรมานทั้งชีวิต นั้นคือภาพรวมของกระบวนการนี้ เเต่สำหรับเคสของ 4 คุณยาย เรื่องกระบวนการนายหน้าหลอกลวงจบไปเมื่อสิบปีที่ผ่านมา เหลือเเต่ผลกระทบ ที่สร้างทุกข์

คุณยายโปรย วัย 94 ปี บอกเราว่า ร้องไห้ทุกวัน ไม่อยากกินข้าวกินปลา คุณยายบอกว่าเพราะเขาจะเอาที่ดินเเละเอาบ้านด้วย

“ฉันเกิดที่นี่โตที่นี่ ฉันอยากตายที่บ้านฉัน สร้างด้วยน้ำเหงื่อ น้ำไคลเรา เเต่คงไม่ได้ตายที่บ้านเราเเล้ว …. ”

มีคนช่วยคุณยายเยอะเลยค่ะ บริจาคเงินมาด้วย เป็นล้านๆ เลย คุณยายทราบไหม

“ไม่รู้สิ่ จำไม่ได้เเล้ว เเต่เขาบอกว่า ไม่ต้องย้ายเเล้ว” เเล้วคุณยายก็เล่าต่อ

“ตาแกเป็นหมอน้ำมนต์ ใครเป็นอะไรก็เป่าช่วยเขา เเต่แกตายตอนแกอายุ 92 ตายเมื่อ 2 ปีที่เเล้ว ยายก็ร้องไห้ทุกวัน คิดถึงแก พอมาตอนนี้ก็ร้องไห้อีก บ้านหลังนี้ปลูกหลังได้กับตา ตอนนั้นยายไปเลี้ยงควาย กลับมาต้องรีบหาบน้ำ ทำกับข้าวเลี้ยงช่าง ที่มาช่วยทำบ้าน ก่อนตาแกตาย แกจ่ายเงินทำห้องน้ำให้ยายใหม่ ที่หลังบ้าน เดินไปดูสิ่ลูก เดินเข้าไปในบ้านเลย ข้าวของเเทบไม่เหลือเเล้ว เพราะขนไปบ้างเเล้ว เเต่ยายยังไม่ไป”

เราเดินไปดูหลังบ้าน …

เตาถ่าน มุ้ง หิ้งพระ ปฏิทิน พื้นบ้าน ประตู หน้าต่าง ล้วนเล่าเรื่องราวชีวิต ในเเต่ละช่วงวัย บางอย่างเราเห็น เรายังคิดถึงอดีตวันวานที่บ้านเราเคยมี เคยใช้ ทุกอย่างล้วนคือ ชีวิตที่ผูกพัน จากวันเกิด จนคิดว่าวันตาย ก็ขอให้ตายที่เห่งนี้ เราได้คุยกับท่านนายอำเภอศรีสำโรง ก็มีเรื่องที่ทำให้เราเข้าใจ เเละเบาใจ

นายปรีชา สุทนต์ นายอำเภอศรีสำโรง เล่าว่า ขอบคุณสังคมมากๆ ที่ช่วยเหลือครอบครัวคุณยายทั้ง 4 ณ ตอนนี้คุณภาพชีวิตต้องถือว่าดีกว่าเดิมมากๆ เเต่เรื่องของกฎหมาย เรื่องของสภาพจิตใจ เป็นคนละเรื่องกัน ซึ่งสภาพจิตใจของคุณยาย ซึ่งเป็นผู้สูงอายุ ที่อายุมากด้วยกันทุกท่านนั้น สำคัญมากๆ ตอนนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับเจ้าของที่ดินคนปัจจุบันอยู่ ซึ่งเจ้าของที่ดินก็ได้อนุโลมให้ครอบครัวคุณยายมาหลายปีเเล้ว การเจรจามีเเนวโน้มไปในทิศทางที่ดี มีกระทรวงยุติธรรมเข้ามาช่วยด้วย วันที่ 25 นี้ จะมีคำตอบไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร เเต่ภาครัฐจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่

เราจะส่งกำลังใจให้ทุกฝ่าย

หาข้อยุติ เเละหาบทสรุปที่ดีที่สุด

ให้กับคุณยายทั้ง 4 ท่าน

รวมทั้งเจ้าของที่ดินคนปัจจุบันด้วยนะคะ