จากกรณี ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์ข้อความ หลังหลานสาววัย 15 ปี โพสต์ขายกระทงอาหารปลาบนเฟซบุ๊ก และมีคนแฝงตัวเข้ามาสั่งออเดอร์โดยย้ำว่าขอเป็นกระทงแบบที่มีหน้าตัวการ์ตูนเช่น มินเนี่ยน รีลักคุมะ และการ์ฟิลด์ กว่า 100 ชิ้น แต่ระหว่างที่นำของไปส่งมีเจ้าหน้าที่เข้ามาถูกจับในข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์ และเรียกปรับกว่า 50,000 บาท จนสุดท้ายไกล่เกลี่ยเหลือ 5,000 บาท
ภาพจากอีจัน
ซึ่งหลังจากเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไปต่างมีผู้เสียหายเคยโดนในลักษณะเดียวกันนี้ ในเวลาไล่เลี่ยกันไม่ต่ำกว่า 3 ราย ซึ่งการกระทำเหล่านี้เข้าข่ายมิจฉาชีพหรือไม่
อ่านข่าว
- สั่งทำกระทงผ่านเฟซบุ๊ก ตลบหลังด้วยข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์
- กระทงลิขสิทธิ์ ไกล่เกลี่ยจบที่ 5,000 บาท พ่อลั่นไม่ควรหากินกับเด็กแบบนี้
- ทนายเดชาชี้ กรณีกระทงลิขสิทธิ์ เข้าข่ายกรรโชกทรัพย์
- โผล่อีกล่อซื้อกระทง! สั่งลายการ์ตูนดัง ก่อนแจ้งจับ เรียกปรับ 5 หมื่น
ภาพจากอีจัน
ล่าสุดวันนี้ 5 ต.ค. 2562 นายวีระศักดิ์ บุญเพลิง รองประธานหอการค้าจังหวัดนครราชสีมา และอดีตประธานสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยถึงเรื่องคดีเด็กหญิงอายุ 15 ปี ถูกจับดำเนินคดีข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์ว่า คดีดังกล่าวเด็กหญิงถูกเรียกเงินค่าเสียหายจำนวน 50,000 บาท แต่สุดท้ายเจรจาตกลงกันที่ 5,000 บาท ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ปกติ
ภาพจากอีจัน
เพราะคดีนี้ถือเป็นคดีอาญาที่สามารถยอมความได้ แต่ตัวแทนลิขสิทธิ์จะต้องเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อนถึงจะดำเนินการไปล่อซื้อจับกุมผู้ต้องหาได้ เนื่องจากการกระทำดังกล่าวไม่ได้เป็นความผิดซึ่งหน้า นอกจากนี้ผู้ต้องหายังเป็นเด็กหญิงอายุ 15 ปี ซึ่งกฎหมายให้ความคุ้มครอง การจะดำเนินคดีตามกฎหมายจะต้องมีสหวิชาชีพร่วมดำเนินการสอบสวนด้วย
ทั้งนี้หอการค้าจังหวัดนครราชสีมาได้ประสานไปยังสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมาให้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องคดีดังกล่าวว่าดำเนินการไปตามกระบวนการทางกฎหมายหรือไม่ ซึ่งหากพบว่าการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวไม่เป็นไปตามกระบวนทางกฎหมาย ทางหอการค้าจังหวัดนครราชสีมาก็จะหาทางเข้าไปช่วยเหลือกับผู้เสียหายต่อไป
ภาพจากอีจัน
พันตำรวจเอก คเชนท์ เสตะปุตตะ ผู้กำกับการ สภ.เมืองนครราชสีมา เปิดเผยว่า ในส่วนของคดีเรื่องดังกล่าวถือว่าจบไปแล้ว เพราะฝ่ายผู้เสียหาย และฝ่ายผู้ต้องหาสามารถเจรจายอมความกันได้ ทั้งนี้ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการไปตามกระบวนการขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งหากตำรวจไม่ดำเนินการก็จะเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ใช้ทั้งหลักนิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ในการปฏิบัติหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว