“เสี่ยเค้ก” ปรึกษาทนายดัง ปมกรมสรรพากรจ่อสอบ ใส่ทอง ขายก๋วยเตี๋ยว 

“เสี่ยเค้ก” เข้าปรึกษาทนายดัง หลังมีกระแสข่าวว่ากรมสรรพากร จะลงมาตรวจสอบเส้นทางการเงิน ปมใส่ทอง เส้นใหญ่ ขายก๋วยเตี๋ยว ลั่น! แค่พ่อค้าริมทาง ใส่ทองไม่ได้เลยเหรอ?

เป็นเรื่องแล้ว “เสี่ยเค้ก”  เข้าปรึกษาทนายดัง หลังมีกระแสข่าวว่ากรมสรรพากร จะลงมาตรวจสอบเส้นทางการเงิน ปมใส่ทอง เส้นใหญ่ ขายก๋วยเตี๋ยว 

จากกรณีนายรังสรรค์  หรือ “เสี่ยเค้ก” อายุ  57 ปี  เจ้าของร้านฮ่องเต้บะหมี่เกี๊ยวปูหมูแดง ย่านตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี  เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะที่เป็นพ่อค้าบะหมี่เกี๊ยวใจดี ติดป้ายที่หน้าร้านไว้ว่า “สตรีมีครรภ์ คนจน คนไร้ที่พึ่งขอกินฟรีได้ตลอด” มักจะสวมใส่ทองเส้นใหญ่เต็มคอ และข้อมือ  จนกลายเป็นกระแสฮือฮา 

ล่าสุดวานนี้ (26 ส.ค.67) เวลา 19.00 น. เสี่ยเค้ก ได้พูดถึงกระแสข่าวที่ว่ากรมสรรพากร จะลงมาตรวจสอบเส้นทางการเงินของเสี่ยเค้ก ที่ร่ำรวยผิดปกติ ระบุว่า ส่วนตัวแล้วตนเองไม่ได้กังวลหากสรรพากรจะมาตรวจสอบเพราะเงินที่ได้มานั้น เป็นเงินที่ได้มาโดยสุจริต แต่ที่เสียใจและนอนไม่หลับ เพราะรู้สึกว่าเพียงเพราะตนขายก๋วยเตี๋ยวมีผิวคล้ำ มีรอยสัก พอใส่ทองเส้นใหญ่ และมีความฝันว่าจะได้สวมใส่ทองเส้นละ 100 บาท ถึงกับต้องลงพื้นที่มาตรวจสอบกันเลยหรือ ทั้งที่ตนเป็นพ่อค้าริมทาง  และเกิดข้อสงสัยว่า เจ้าของร้านบะหมี่เกี๊ยวจะใส่ทองคำเส้นละ 10 บาทไม่ได้เลยหรือ 

ทั้งนี้ เสี่ยเค้กยังได้เปิดใจถึงที่มาที่ไปของทองที่ใส่อยู่ที่คอและข้อมือด้วยว่า  จุดเริ่มต้นมาจากการขายที่ดินของทางครอบครัว เมื่อ 20 ปีก่อน ตอนนั้นตนได้เงินมาประมาณ 80,000 บาท เพราะเป็นการขายต่อให้กับพี่สาว จึงนำเงินจำนวนนี้ไปซื้อทองเก็บไว้ และขายบะหมี่มาก่อนหน้านั้น  

จนกระทั่งขายไปขายมาก็รวบรวมเงินทอง จนกลายเป็นตอนนี้ที่ใส่อยู่คือทองคำเส้นละ 10 บาท 2 เส้น และที่ข้อมือ เส้นละ 5 บาท รวม แล้ว 25 บาท มูลค่าตอนนี้ 1  ล้านบาท  และใส่แบบนี้มาขายบะหมี่เกี๊ยวทุกวัน เสี่ยเค้ก ยังบอกอีกว่ากว่าตนเองจะเก็บหอมรอมริบได้ทองเส้นใหญ่ขนาดนี้ ตนขายก๋วยเตี๋ยวมา 32 ปี เป็นคนที่ประหยัดมัธยัสถ์มาก แม้แต่กาแฟร้านหรู ๆ ก็ไม่กล้ากิน กับข้าวก็ทำกินกันเองในครอบครัว กินชามเดียวกับภรรยา  กำไรที่ได้จากการขายก๋วยเตี๋ยวต่อวันนำไปหยอดกระปุก อย่างน้อย 1,000 บาทและไม่มีการนำออกมาใช้  แม้จะใส่ทองเส้นใหญ่ แต่เสื้อ และกางเกง ไม่เกิน 200 บาท ทุกวันนี้ยังขับขี่รถจักรยานยนต์ ส่งก๋วยเตี๋ยวให้ลูกค้าที่มาสั่งอยู่เลย  เพราะในชีวิตมีสิ่งเดียวที่ตนปรารถนานั่นคือทองคำ จึงเก็บเงินขวนขวายที่จะซื้อทองคำเส้นใหญ่ ๆ มาใส่ เพราะมันทำให้รู้สึกมีกำลังใจมีแรงผลักดันในการทำงานต่อไป   

ส่วนประเด็นที่บอกว่า ตนกำลังเตรียมเงินเพื่อไปซื้อทอง 100 บาทนั้น ก็ยอมรับว่าได้เข้าไปในร้านทองแห่งหนึ่ง เพื่อไปเปลี่ยนลายทองที่ข้อมือ ปรากฏว่าพอเข้าไปในร้าน ก็เห็นทองเส้นละ 100 บาท เส้นใหญ่สวยงามมาก มีความตั้งใจว่าต่อไปจะต้องเก็บเงินเพิ่มเพื่อซื้อทอง ให้ครบ 100 บาทซึ่งตอนนี้มีแล้ว 25 บาท ก็เหลืออีก 75 บาท นี่ก็คือความใฝ่ฝันของตัวเอง  ขณะที่ในวันนั้นแม่ค้าก็เห็นว่าตนใส่ทองเส้นใหญ่เข้าไปในร้านก็เลยให้ตนลองสวมทองเส้นละ 100 บาท เพื่อทำ Content โปรโมทร้าน แล้วก็โปรโมทตัวเองด้วย ยืนยันว่าตอนนี้ยังไม่มีเงินซื้อทอง 100 บาท เป็นเพียงความฝันเท่านั้น 

ขณะที่ในวันนี้เสี่ยเค้กยังได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษากับนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานมูลนิธิเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม  ถึงกรณีการค้าขายบะหมี่ และมีเงินซื้อทอง รวมแล้ว 25 บาท  ซึ่งเมื่อทนายรณรงค์ ได้ฟังข้อมูลจากเสี่ยเค้กแล้ว ก็บอกว่าไม่น่ากังวลอะไรเพราะกำไรจากการขายบะหมี่เกี๊ยวต่อวันอยู่ที่ประมาณวันละ 2,000 กว่าบาท หรือบางวันก็ขาดทุนด้วยซ้ำ หากคำนวณจากรายได้แล้วน่าจะไม่เกิน 1 ล้าน 8 แสนบาทต่อปี 

ทนายรณรงค์ กล่าวว่า ตนเองเห็นเสี่ยเค้กขายก๋วยเตี๋ยวมาตั้งแต่ตัวเองยังเด็ก เดินผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวของเสี่ยเค้กทุกวันและยังรู้ด้วยว่าเสียเค้กเป็นคนที่มัธยัสถ์มาก รู้สึกไม่แปลกใจอะไรที่เสี่ยเค้กจะสวมใส่ทองเส้นละ 10 บาท 2 เส้น บนคอจนดูเหลืองอร่าม  ซึ่งเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เสียเค้กนำออกมาโชว์  นอกนั้นก็เห็นว่าแกขับรถธรรมดาแต่งตัวธรรมดาใช้ชีวิตประจำวันเป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่หรูหราอะไร ซึ่งเรื่องนี้หากสรรพากรลงพื้นที่มาตรวจสอบก็ต้องให้เขาตรวจสอบไปตามกระบวนการ ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลอะไร