อือหือ! อุทาหรณ์ ชาวจีนเป็น “โรคลิ้นจี่” หลังกินลิ้นจี่ไป 5 กิโล  

โอ้วว…แล้วอร่อยซะด้วย! แชร์อุทาหรณ์ สาวชาวจีนมีอาการเวียนหัว-เลือดกำเดาไหลไม่หยุด หลังกินลิ้นจี่ไป 5 กิโล ทราบภายหลังตนเป็น “โรคลิ้นจี่”

เคยได้ยินกันมั้ย? “โรคลิ้นจี่” 

เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.68 ที่ผ่านมา เพจเฟซบุ๊ก Jeenthai Business Inside ได้ออกมาแชร์อุทาหรณ์ และให้ความรู้เกี่ยวกับโรคๆนี้ที่คนไทยอย่างเราอาจไม่ค่อยได้รู้จัก อย่าง “โรคลิ้นจี่” โดยระบุข้อความว่า…  

“ชาวจีนเป็น ‘โรคลิ้นจี่’ หลังซัดลิ้นจี่ไป 5 กิโล 

เข้าสู่ฤดูกาลลิ้นจี่อีกครั้ง ผลไม้เนื้อใส หอมหวานที่ใครหลายคนโปรดปราน กินแล้วหยุดไม่ได้  แต่ล่าสุด แฮชแท็ก #โรคลิ้นจี่ กำลังเป็นกระแสร้อนบนโลกโซเชียล มีรายงานว่า หญิงสาวคนหนึ่งในมณฑลกวางตุ้ง กินลิ้นจี่มากถึง 5 กิโลกรัม ภายในวันเดียว เช้าวันต่อมาเธอมีอาการเวียนศีรษะ เลือดกำเดาไหลไม่หยุด ต้องรีบส่งโรงพยาบาลด่วน และพบว่าเป็น “โรคลิ้นจี่” ที่หลายคนอาจตั้งถามว่า ลิ้นจี่ทำให้ป่วยได้ด้วยเหรอ? 

อะไรคือสิ่งที่ชาวจีนเรียกว่า “โรคลิ้นจี่” 

“โรคลิ้นจี่” (Reactive hypoglycemia) หรือภาวะที่ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงต่ำผิดปกติ ภายใน 4 ชั่วโมงหลังจากรับประทานอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่มีน้ำตาลหรือคาร์โบไฮเดรตสูง ชื่อทางการของโรคนี้คือ “กลุ่มอาการสมองอักเสบเฉียบพลันจากภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ” (Hypoglycemic encephalopathy) หรือ ภาวะที่สมองได้รับความเสียหายจากระดับน้ำตาลในเลือดที่ลดลงต่ำมากและนานเกินไป มักพบในเด็กอายุระหว่าง 4-11 ปี แต่ผู้ใหญ่ก็เป็นได้เช่นกัน หากกินลิ้นจี่ในขณะท้องว่างและในปริมาณมาก 

อาการที่พบได้มีตั้งแต่อาการเบาไปจนถึงขั้นรุนแรง  

เวียนหัว เหนื่อยง่าย ใจสั่น ผิวซีด หิวบ่อย หากรุนแรงอาจเกิดอาการชัก ความดันตก หมดสติ ตับบวม ไปจนถึงช็อกและอาจเสียชีวิตได้ภายในไม่กี่ชั่วโมงหากไม่ได้รับการรักษา 

แล้วลิ้นจี่หวานๆ ทำไมถึงทำให้ “น้ำตาลในเลือดต่ำ” 

หลายคนอาจแปลกใจ เพราะลิ้นจี่จัดเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง แต่ในลิ้นจี่ดิบหรือยังไม่สุกดี จะมีสารธรรมชาติที่ชื่อว่า MCPG และ Hypoglycin A ซึ่งไปยับยั้งการสร้างน้ำตาลในร่างกาย และยับยั้งการเผาผลาญกรดไขมัน พอกินมากเกินโดยเฉพาะในขณะท้องว่าง จึงเสี่ยงเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่ายขึ้น 

ทำไมเด็กถึงเสี่ยงมากกว่าผู้ใหญ่? 

เพราะระบบควบคุมฮอร์โมนและการเผาผลาญในเด็กยังไม่สมบูรณ์ ทำให้ลิ้นจี่ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดของเด็กได้เร็วกว่าผู้ใหญ่ ดังนั้น ควรระวังเป็นพิเศษสำหรับเด็กเล็กและไม่ควรให้กินในขณะท้องว่างเด็ดขาด 

ถ้าเผลอเป็นแล้ว ควรทำอย่างไร? 

-หากมีอาการเบาๆ เช่น เวียนหัว เหนื่อย ควรให้นอนพักและรีบให้กินอาหารที่มีน้ำตาล เช่น น้ำผึ้ง ขนมปัง ขนมหวาน หรือเกลือแร่ 

-หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มรสหวานที่มีฟรุกโตสสูง นม หรือช็อกโกแลต เพราะดูดซึมช้า ไม่ช่วยในกรณีฉุกเฉิน 

-หากมีอาการรุนแรง เช่น ชัก หมดสติ ห้ามป้อนอาหารหรือน้ำเด็ดขาด รีบส่งโรงพยาบาลทันที 

สรุปแล้วยังจะกินลิ้นจี่ได้ไหม? 

กินได้แต่ต้องกินอย่างมีสติ เพื่อป้องกันโรคลิ้นจี่ เช่น ไม่กินขณะท้องว่าง – แนะนำกินหลังอาหารประมาณ 30 นาที, กินในปริมาณพอเหมาะ – ผู้ใหญ่ควรกินไม่เกิน 10–15 ลูกต่อวัน (ตามคำแนะนำของสาธารณสุขจีน), หลีกเลี่ยงลิ้นจี่ดิบ/ยังไม่สุกดี – เพราะสารที่เป็นอันตรายมีมากกว่าลิ้นจี่สุก, กลุ่มเสี่ยงควรหลีกเลี่ยง – ผู้ป่วยเบาหวาน, ผู้มีปัญหาลำไส้หรือเจ็บคอ ควรหลีกเลี่ยงลิ้นจี่ 

ข้อควรระวัง 

ลิ้นจี่อร่อยก็จริง แต่ไม่ควรกินมากเกินไปโดยเฉพาะตอนท้องว่าง ผู้ปกครองควรดูแลเด็กให้ดี หากพบอาการผิดปกติ ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที อย่าปล่อยไว้เดี๋ยวอันตราย 

ลูกเพจล่ะคะ ชอบกินลิ้นจี่มั้ยแล้วคิดอย่างไรกับเรื่องนี้บ้าง? 

ที่มา: เพจเฟซบุ๊ก Jeenthai Business Inside https://www.facebook.com/share/p/19AjS8sPVV/