หน้าร้อนปีนี้ช่างร้อนเหมือนเราเดินตากแดดอยู่ตลอดเวลา ยิ่งก่อนฝนตกอากาศก็ยิ่งอบอ้าวขึ้นไปอีก อากาศร้อนๆแบบนี้มันส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนมากๆเลยนะ
โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงทั้ง 6 กลุ่มที่ เพจเฟซบุ๊ก ของ กรมการแพทย์ โดย นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ได้เปิดเผยข้อมูลเพื่อแชร์ให้พี่น้องชาวไทยได้รับรู้ร่วมกัน ว่าสาเหตุของ “โรคจากความร้อน” นั้น เป็นภาวะผิดปกติในการตอบสนองของร่างกาย ต่อการสัมผัสความร้อนสูงกว่าปกติ และไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ในระดับปกติได้
ภาพจากอีจัน
6 กลุ่มเสี่ยงนี้ ที่อาจเกิดโรคจากคลื่นความร้อนได้ง่าย ได้แก่
1.ผู้ที่ทำงานหรือทำกิจกรรมกลางแดด เช่น ออกกำลังกาย ผู้ใช้แรงงาน ก่อสร้าง เกษตรกร
2.เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี
3.ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคความดันโลหิตสูง
4. ผู้สูงอายุ
5.คนอ้วน
6.ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
นายแพทย์สมบูรณ์ ทศบวร ผอ.โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี ยังกล่าวว่า การเจ็บป่วยจากความร้อนเกิดขึ้นเมื่อกลไกการระบายความร้อนภายในร่างกายทำงานผิดปกติ ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้น แต่ระบบการถ่ายเทความร้อนออกจากร่างกายไม่ได้ผล
ส่วนโรคที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา คือ โรคลมแดด ผื่นแดด และตะคริวกินจากความร้อน
อาการเหนื่อยล้าจากความร้อน ได้แก่ เหงื่อออกมาก อ่อนเพลีย ชีพจรเต้นเร็ว ปวดศีรษะ วิงเวียน ผิวหนังเปียกชื้น อาจหมดสติ หรือเป็นลมจากความร้อน มีอาการเปลี่ยนแปลงทางระบบประสาท ชักหมดสติ และอาจเสียชีวิต
ข้อแนะนำเพื่อไม่ให้ตัวเราและคนที่เรารักเป็นอันตรายจากความร้อนนี้ได้
1.ต้องสวมหมวกที่มีขอบบังแดด หรือใช้ร่ม และแว่นกันแดด พยายามอยู่ในที่ร่ม หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดจัด
2.ดื่มน้ำมากๆ ควรดื่มน้ำ 1-2 แก้วก่อนไปทำงานกลางแจ้งในวันที่มีอากาศร้อน อย่าปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำ จนรู้สึกกระหายน้ำหรือริมฝีปากแห้ง
3.หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดจัด และควรอยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก สวมใส่เสื้อผ้าที่สบายไม่รัดรูปหรือทำให้อึดอัด
4.ไม่ออกกำลังกายหรือทำงานกลางแดดเป็นเวลานาน
5.ไม่ดื่มสุรา คาเฟอีน หรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมน้ำตาลจำนวนมาก ควรดื่มน้ำเกลือแร่บ้าง
อากาศในประเทศไทยช่วงนี้เปลี่ยนแปลงบ่อยเหลือเกิน เดี๋ยวพายุ เดี๋ยวลูกเห็บ เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็น ยิ่งตอนนี้อากาศยิ่งอบอ้าวร้อนหนักกว่าเดิม เดินออกไปซื้อของหน้าปากซอยแทบจะไหม้เกรียมเป็นตอตะโกขนาดนี้ ไหนจะต้องระวังโควิด-19 ไหนจะแดดแผดเผา แค่คิดก็ไม่อยากออกจากบ้านแล้ว
ยังไงลูกเพจก็อย่าลืมดูแลสุขภาพของตัวเอง คนในครอบครัว และสัตว์เลี้ยงที่บ้านกันด้วยนะคะ
ขอบคุณข้อมูล : กรมการแพทย์ และ โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี