ป.ป.ส. ลุย ยึดทรัพย์กว่าร้อยล้าน ตัดวงจร “ ยานรก ” เครือข่าย หนูเฉิน

ทลายให้สิ้นซาก ! ป.ป.ส. สนธิกำลัง เจ้าหน้าที่ ยึดทรัพย์กว่าร้อยล้าน ตัดวงจร “ ยานรก ” เครือข่าย หนูเฉิน นักค้ายาเสพติดรายใหญ่

ลุยยึดทรัพย์ ตัดวงจรเครือข่ายยาเสพติด รายใหญ่ในไทย !!!

เช้าตรู่วันนี้ (25 พ.ย. 63) อีจัน ลงพื้นที่พร้อมกับ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. และ เจ้าหน้าที่หลายภาคส่วน ที่ได้สนธิกำลัง ร่วมกันเปิด “ ยุทธการพิทักษ์ไทย ยึดทรัพย์ ตัดวงจรยาเสพติด ครั้งที่ 6 ” ซึ่งได้ลงพื้นที่ยึดทรัพย์ ผู้ต้องหาหนึ่งใน เครือข่าย หนูเฉิน นักค้ายาเสพติดรายใหญ่ ที่ได้เปิด ธุรกิจค้าไม้ ย่านมีนบุรี บังหน้า ซุกซ่อนเงิน และ ฟอกเงิน ในโกดัง    

ไว้

ภาพจากอีจัน
ภาพจากอีจัน
ภาพจากอีจัน
เหตุการณ์นี้ ขยายผลจาก การจับกุมผู้ต้องหา 2 ราย พร้อมยาไอซ์ล็อตใหญ่ 1.5 ตัน ด่านตรวจห้วยยะอุ อ.แม่สอด จ.ตาก เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 62 ที่ผ่านมา ตำรวจขยายผลต่อ นำไปสู่การออกหมายจับผู้ร่วมเครือข่าย 9 ราย ซึ่งสามารถตามจับได้ 7 ราย และหลบหนี 2 ราย
ภาพจากอีจัน
ต่อมา วันที่ 22 ต.ค. 63 ตำรวจจับกุม ผู้ต้องหาเพิ่มอีก 1 ราย คือ นายเกิดชนะ มินา ขณะลักลอบเข้ามาในไทย เจ้าตัวอ้างว่า เป็นเจ้าของยาเสพติด และเป็นนายทุนตัวการสำคัญ ซึ่งมีผู้ร่วมขบวนการสำคัญ คือ นายฐาปนันทน์ หรือ หนูเฉิน ธรรมรัตน์ธาดา ซึ่งเป็นเครือข่ายค้ายาเสพติดรายใหญ่ ในพื้นที่ชายแดนภาคตะวันตก และมีนางสาว หลิน ชาล์ ทำหน้าที่ด้านการเงินให้กับเครือข่าย จากนั้น ตำรวจรวบรวมพยานหลักฐาน ออกหมายจับ นายหนูเฉิน และ นางสาว หลิน ชาล์ ในข้อหา สมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และสนับสนุนช่วยเหลือผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด มาตรา 6 และ มาตรา 8 ตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534
ภาพจากอีจัน
ภาพจากอีจัน
จนในที่สุด สามารถจับกุมตัว นางสาว หลิน ชาล์ อายุ 34 ปี ที่ทำธุรกิจค้าไม้ บังหน้า ซุกซ่อนเงิน และฟอกเงินค้ายาเสพติด เจ้าหน้าที่ยึดทรัพย์สิน เงินฝากธนาคาร จำนวนกว่า 30 ล้านบาท บ้านและโฉนดที่ดิน 2 แปลง รถยนต์ 2 คัน และเงินต่างประเทศ มูลค่ากว่า 3 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ คิดเป็นเงินไทย เกือบ 100 ล้านบาท รวมมูลค่าทั้งหมด เกือบ 200 ล้านบาท จากการตรวจสอบ ยังพบอีกว่า ผู้ต้องหามีการโอนเงินไปยังธนาคาร ในประเทศเมียนมาร์ รวมมูลค่ากว่า 2 พันล้านบาท
ภาพจากอีจัน
ภาพจากอีจัน
ภาพจากอีจัน
เบื้องต้น ตำรวจได้สืบสวน ขยายผลเพิ่มเติม เพื่อนำตัวผู้กระทำความผิด มาดำเนินคดีทางกฎหมายต่อไป