
วันนี้ (11 มิ.ย.68) นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) กล่าวว่า แนวโน้มเงินบาทในครึ่งปีหลัง ยังมองในทิศทางแข็งค่าจากปัจจัยต่างประเทศเป็นหลักโดยเฉพาะทิศทางเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่อ่อนค่าลงจากปัจจัยหลายๆ ปัจจัยที่นักลงทุนมีความกังวล ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากสงครามการค้า การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูง
รวมถึงเงินทุนไหลเข้าภูมิภาคที่โยกมาจากตลาดสหรัฐฯ รวมถึงราคาทองคำที่ยังสูง เป็นปัจจัยหนุนเงินบาทในครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าของเงินบาทเป็นไปในกรอบจำกัดเนื่องจากปัจจัยในประเทศของไทยเอง ทั้งในเรื่องของจีดีพีที่เติบโตได้ต่ำจากปัญหาเชิงโครงสร้างของไทย รวมถึงความน่าสนใจในการดึงเงินลงทุนของต่างชาติเข้ามายังน้อย
ดังนั้น จึงคาดว่าเงินบาทน่าจะแข็งค่าขึ้นอีกประมาณ 2-3% และประเมินกรอบเงินบาทในระยะสั้นที่ 32.30-33.30 บาทต่อดอลลาร์ฯ ณ สิ้นปีนี้ที่ 31.50-32.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยนับจากสิ้นปีเงินบาทเมื่อเทียบเงินในภูมิภาคแล้ว แข็งค่าขึ้นประมาณ 5% รองจากไต้หวัน
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ต้องระมัดระวังเป็นเรื่องของความผันผวนที่เพิ่มขึ้นมาก โดยช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีกรอบการแกว่งตัวถึง 3-5 บาทหรือเท่ากับ 10-15% จากช่วงก่อนหน้าที่จะมีกรอบประมาณ 1-2 บาท และยังมีแนวโน้มความผันผวนต่อเนื่อง
ซึ่งจะเป็นส่วนที่กระทบต่อผู้ประกอบการส่งออก-นำเข้าที่เป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของเศรษฐกิจไทย ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงต้องเตรียมความพร้อมทั้งด้านการใช้เครื่องมือทางด้านความเสี่ยง และการบริหารความเสี่ยงด้านอื่นๆ
ความผันผวนเป็นเรื่องที่ผู้ส่งออก-นำเข้าเป็นห่วงเพราะมีกรอบความผันผวนที่กว้างขึ้น อย่างช่วงเดือนเมษายนวันที่มีการประกาศภาษีตอบโต้ เงินบาทอ่อนค่าไปแตะที่ 35 บาท และกลับไปแข็งค่าที่ 32.40 ในวันที่ประกาศเลื่อนภาษีภายในเดือนเดียว
“ดังนั้น จึงอยากให้ผู้ประกอบการให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงซึ่งมีหลากหลายวิธี ทั้งการซื้อประกันความเสี่ยง หรือการใช้เงินภูมิภาคในการซื้อขายสินค้า เป็นต้น โดยมองกรอบเงินที่เหมาะสมสำหรับผู้ส่งออก-นำเข้าในช่วงนี้ที่ประมาณ 32-33 บาท”
ทั้งนี้ ทิศทางดอกเบี้ยคาดการณ์คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)มีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 2 ครั้งและ 0.25% สู่ระดับ 1.25%ในช่วงที่เหลือของปีนี้ จากทิศทางเศรษฐกิจที่ชะลอลง และอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำ
นายแพททริก ปูเลีย รองผู้จัดการใหญ่ Head of Financial Markets Function และ Head of Private Banking Relationship Management ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ภายใต้บทบาทพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ทางการเงิน ให้กับลูกค้าธุรกิจ นักลงทุนสถาบันและลูกค้ารายย่อย SCB Financial Markets นำเสนอ 5 ผลิตภัณฑ์และบริการหลัก ประกอบด้วย
-ธุรกิจอัตราแลกเปลี่ยน (FX) และเครื่องมือบริหารความเสี่ยง อาทิ FX Forward และ FX Options ที่ออกแบบให้เหมาะสมกับลักษณะธุรกิจของลูกค้า โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีความเสี่ยงด้านค่าเงินจากการค้าระหว่างประเทศ
-การขยายผลิตภัณฑ์ FX และคู่สกุลเงินใหม่ เพื่อรองรับสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ของประเทศปลายทาง สำหรับลูกค้าที่กำลังขยายธุรกิจในระดับภูมิภาคและตลาดเกิดใหม่
-ช่องทางดิจิทัล อาทิ FX Online และ FX API ที่สามารถเชื่อมต่อธุรกรรม FX เข้ากับระบบ Treasury ของลูกค้าได้โดยตรง เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเงินตราต่างประเทศ และ การซื้อขายพันธบัตรในตลาดรอง (Secondary Bond) ผ่านแอป SCB Easy เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุนให้กับลูกค้ารายย่อย
-ผลิตภัณฑ์การลงทุนแบบ Structured Notes ที่ออกแบบโดยอิงกับหลากหลายสินทรัพย์ อาทิ ค่าเงิน หุ้น และอัตราดอกเบี้ย เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายผลตอบแทนและระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกันของลูกค้า
-บัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-FCD) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารสภาพคล่องและต้นทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน
ซึ่งทั้ง 5 กลุ่มผลิตภัณฑ์และบริการ และเรามีแผนเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน (Currency Futures) ผ่านตลาด Thailand Futures Exchange (TFEX) เพื่อเพิ่มทางเลือกในการบริหารความเสี่ยงให้กับลูกค้ารายย่อย รวมถึงการนำเทคโนโลยี AI และ Machine Learning มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก
“การแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าแต่ละราย และรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจ และสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านเครื่องมือทางการเงินที่ทันสมัย ปลอดภัย และครอบคลุมในทุกมิติของโลกการเงินยุคใหม่” นายแพท ทริก กล่าว