นักวิชาการรัฐศาสตร์ มอง ‘นายก อบจ.ป้ายแดง’ ส่วนสำคัญนำท้องถิ่นฝ่าวิฤตโควิด19

นักรัฐศาสตร์ สะท้อน ‘นายก อบจ.ป้ายแดง’ ขุมกำลังสำคัญต่อการฝ่าวิฤตไวรัสโควิดระลอกใหม่ ชี้อย่าใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองโจมตีฝ่ายตรงข้าม

การเลือกตั้งท้องถิ่นได้เสร็จสิ้นลงไปแล้วเมื่อวานนี้ (20 ธ.ค.) หลายจังหวัดได้รับรู้รับทราบแล้วว่า ใคร จะได้ดำรงตำแหน่ง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกันบ้างแล้ว อย่างไรก็ดี การมาของนายก อบจ. ป้ายแดงนั้น ถือว่าเข้ามาทำงานในช่วงสถานการณ์วิกฤต ด้วยขณะนี้การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของไวรัสโคโรน่า 2019 หรือ โควิด-19 กำลังขยายวงออกไป จนทำให้หลายฝ่ายกังวล และวิตกต่อการล็อกดาวน์อีกครั้ง ซึ่งจะทำให้ภาพรวมต่างๆของประเทศ ที่กำลังจะกระเตื้องขึ้น ต้องหยุดชะงักลงอีกครั้ง
ถือว่านี้คือ ความท้าทายครั้งสำคัญ ของเหล่านายกอบจ. ที่เตรียมรับหน้าที่

ภาพจากอีจัน


นายวันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้มองสถานการณ์และความท้าทายครั้งนี้ว่า สิ่งที่สำคัญในสถานการณ์ฉุกเฉินของการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่นั้น สิ่งที่นายก อบจ.ป้ายแดง ที่ควรจะต้องทำเมื่อเข้ารับหน้าที่เต็มตัวแล้ว คือ การเป็นมือประสาน 10 ทิศ การประสานที่กล่าวถึงนี้ คือต้องทำงานร่วมกับฝ่ายจังหวัดได้ ฝ่ายข้าราชการประจำในท้องที่ได้ และต้องเอาอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน หรือการต่อสู้ทางการเมืองที่ผ่านมา ทิ้งไปก่อน รวมทั้งความเป็นขั้วทางการเมืองออกไปให้หมด เพราะในสถานการณ์สำคัญเช่นนี้ ต้องการสรรพกำลังต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งขันที่ไม่ได้รับเลือกตั้งเข้ามา แต่เขาอาจจะมีกำลังในส่วนทุนทรัพย์ ที่จะมาสนับสนุนหรือการช่วยเหลือ บรรเทาได้เสมอ
“ โจทย์ต่อมา เมื่อมาตรการการจำกัดเขตโรค เช่น มาตรการเคอฟิวส์ หรือ มาตรการการใช้คำสั่งเปิดและปิดร้านค้าต่างๆ ในช่วงจำกัดเวลา ท้องถิ่นต้องเป็นตัวหลักสำคัญ ในการแจ้งข่าวสารและทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชน ต้องยึดโยงกับบริบทสังคมในท้องถิ่น ในขณะเดียวกันต้องรับฟังประกาศจากส่วนการ เช่นกระทรวงสาธารณสุขด้วย เพราะทุกอย่างนั้น เราไม่อยากให้การแพร่ระบาดกลับมาเยือน เพราะสังคมไทยเห็นแล้วว่า โควิด19 ในห้วงที่ผ่านมานนั้น ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และปากท้องของประชาชนอย่างมาก ซึ่งถือเป็นจุดได้เปรียบของนักการเมืองท้องถิ่นอย่างมาก เพราะรู้จักปัญหา และเข้าใจอารมณ์นึกคิดต่างๆได้เป็นอย่างดี”
อีกหนึ่งสิ่งท้าทายที่ทาง นายวันวิชิต มองเห็นกับสถานการณ์นี้ คือ ช่วงใกล้เทศกาลปีใหม่ สิ่งนี้จะกลายเป็นแรงกดดัน และจะถูกตั้งคำถามว่า งานรื่นเริง งานเฉลิมฉลองต่างๆ จะสามารถจัดได้หรือไม่ ตรงนี้คือตัววัดความเป็นผู้นำได้อย่างดี ของเหล่านายกอบจ.คนใหม่ ว่าจะต้องคำนึงถึงฐานเสียง หรือจะแสดงความเด็ดขาดในสถานการณ์วิกฤต

“ นี่คือ บททดสอบในการวัดวุฒิภาวะ ซึ่งเป็นโจทย์แรกที่ต้องรับมือ เชื่อว่า หากผู้นำท้องถิ่นคนใหม่แสดงความเด็ดขาด ยกเลิกงานฉลองต่างๆในช่วงนี้ ผมมองว่า ประชาชนจะให้ความร่วมมือ หากมีเหตุผลที่ดี”
ในเรื่องแรงงานต่างด้าว ที่เป็นโจทย์สำคัญของการแพร่ระบาดระลอกสองครั้งนี้ นายวันวิชิต มองว่า ฝ่ายท้องถิ่นต้องคำนึงถึงความเป็นมนุษยชนเป็นสำคัญ ควรจะต้องเร่งดำเนินการให้การรักษาให้กับแรงงานต่างด้าว

อย่างไรก็ดี นักรัฐศาสตร์แห่งทุ่งรังสิต ยังได้ฝากข้อคิดและข้อแนะนำด้วยว่า ฝ่ายการเมืองต่างๆอย่าสาดโคลนใส่กัน ให้มองสิ่งที่ผ่านมาเป็นเรื่องอดีต อยากให้ผนึกกำลังในการทำงานร่วมกัน และที่สำคัญ นายกรัฐมนตรีควรจะให้กำลังคนทำงาน และให้เครดิตบุคลากรทางการแพทย์ บุคลากรกระทรวงสาธารณสุข หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง อย่าเพียงยกเครดิตส่วนตัวให้กับใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น ไม่อยากให้ใช้สถานการณ์โควิดระลอกใหม่ แล้วนำมาใช้เป็นเครื่องเมืองโจมตีทางการเมืองกัน เป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง