นักวิจัยสหรัฐฯ เตือน อย่าตีลูก

อย่าตีลูก? นักวิจัยสหรัฐฯ ชี้ ‘การตีเด็ก’ มีผลเสียมากกว่าผลดี แม้ในสังคมที่ยอมรับการตีลูก ก็ไม่ควรทำ?

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า
วานนี้ (19 ส.ค.2562) เว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยมิชิแกน เผยแพร่ข้อมูล งานวิจัยของนักวิจัยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (UM) ที่ชี้ให้เห็น การตีเด็กในกลุ่มประชากรชนพื้นเมืองอเมริกัน ผลกระทบจากการถูกตบตี ส่งผลลบต่อตัวเด็ก ไม่ต่างจากในเด็กผิวขาวและผิวสี อันจะนำไปสู่พฤติกรรมก้าวร้าวต่างๆ เช่น พฤติกรรมต่อต้าน ตบตีผู้อื่น และมีอารมณ์ฉุนเฉียว

โดยกลุ่มนักวิจัย ได้วิเคราะห์ข้อมูลของแม่กว่า 3,600 คน จากเมือง 20 เมืองในสหรัฐฯ ที่มีประชากรมากกว่า 200,000 คน โดยเก็บข้อมูล 3 รอบจากเด็ก ตอนเด็กมีอายุได้ 1, 3 และ 5 ปี ผู้เข้าร่วมวิจัยได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับความถี่ในการตีลูกของตน

ผลวิจัยเผยว่าการตีเพื่อลงโทษในกลุ่มชาวผิวขาว ผิวสี และชนพื้นเมือง ล้วนเกี่ยวพันกับพฤติกรรมก้าวร้าวของเด็ก ซึ่งหมายความว่าการตี เพื่อลงโทษล้วนส่งผลร้ายต่อเด็กทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในกลุ่มเชื้อชาติใด ที่คิดว่าการลงโทษดังกล่าว “เป็นสิ่งที่ยอมรับได้” หรือ “เป็นเรื่องปกติธรรมดา” ก็ตาม

ขอบคุณภาพจาก : สำนักข่าวซินหัว

“แม้คนบางกลุ่มจะมีความเชื่อว่าการตีเป็นเรื่องปกติ และไม่ส่งผลร้ายต่อเด็ก แต่ผลวิจัยแสดงให้เห็นแล้วว่า การตีเพื่อลงโทษเป็นอันตรายต่อทั้งเด็กผิวขาว ผิวสีและชนพื้นเมืองในสหรัฐฯ” เคธลิน วาร์ด นักศึกษาปริญญาเอกด้านสังคมสงเคราะห์และจิตวิทยาพัฒนาการ จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ซึ่งเป็นผู้เขียนหลักของงานวิจัยกล่าว

งานวิจัยชี้ว่าแม่ชาวพื้นเมืองอเมริกันและชาวผิวขาว มักจะใช้วิธีทำโทษลูกด้วยการตีเหมือนกัน ดังนั้น ผลกระทบของการตีในเด็กชนพื้นเมืองจึงไม่แตกต่างจากเด็กผิวขาวและผิวสีนัก โดยนักวิจัยเผยถึงสถิติของทั้ง 3 กลุ่มเชื้อชาติว่า แม่ที่ตีเด็กในวัย 1 ปี จะทำให้เด็กมีปัญหาด้านพฤติกรรมตอนอยู่ในช่วงอายุ 3 ปี ซึ่งจะทำให้เด็กถูกตีมากขึ้นเมื่อมีอายุ 5 ปี เคธลิน กล่าวอีกว่า ว่าเจ้าหน้าที่และแพทย์ด้านสุขภาพจิตที่ทำงานกับชาวพื้นเมืองอเมริกัน ควรระมัดระวังเรื่องบาดแผลฝังใจในอดีต และการถูกกดขี่ด้วยการใช้กำลังลงโทษในกลุ่มคนเหล่านี้

ปัจจุบัน บรรดานักวิจัยต่างแนะนำให้ผู้ปกครองหลีกเลี่ยงการตีลูกมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากการลงโทษดังกล่าวให้โทษมากกว่าประโยชน์ ทั้งนี้ ผลวิจัยดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ลงบนวารสารความรุนแรงระหว่างบุคคล (Journal of Interpersonal Violence) ฉบับล่าสุด

ขอบคุณข้อมูลจาก : xinhuathai.com