เปิดประวัติ อ.ไพศาล แสนไชย คนระลึกชาติ ล่ามจากนรก-สวรรค์

เปิดประวัติ อ.ไพศาล แสนไชย คนระลึกชาติ ผู้นำสาส์นจากนรกและสวรรค์ ที่นิมิตกรรมช่วยเหลือ เมฆ วินัย ไกรบุตร อดีตพระเอกดังป่วยโรคตุ่มน้ำพอง

ช่วงไม่กี่วันมานี้ หลายคนอาจจะได้ยินชื่อของ อ.ไพศาล แสนไชย ผู้ที่มีความสามารถพิเศษหรือสัมผัสที่ 6 และการติดต่อสื่อสารกับผู้ที่อยู่ต่างภพ ซึ่ง หนุ่ม คงกระพัน แสงสุริยะ พิธีกรชื่อดัง ได้พา เอ๋ อรชัญญาซ์ ภรรยาของ เมฆ วินัย ไกรบุตร ดารา นักแสดง ที่ป่วยด้วยโรคตุ่มน้ำพอง ไปพบกับ อ.ไพศาล เพื่อให้ช่วยนิมิตถึงกรรมในอดีตชาติ เพื่อช่วยแก้ไขวิบากกรรมที่กำลังเผชิญอยู่ ผ่านรายการ คุยคุ้ยคน  

ด้าน อ.ไพศาล ก็ได้เปิดเผยถึงกรรมในอดีตชาติของ เมฆ วินัย ไกรบุตร พร้อมแนะนำวิธีการแก้ไขในเบื้องต้น และสิ่งที่อดีตพระเอกดังควรทำ เพื่อช่วยบรรเทาอาการความเจ็บป่วยที่กำลังรุมเร้าในตอนนี้ จนทำให้หลายคนอยากรู้จักกับ อ.ไพศาล ว่าเป็นใคร และมีความสามารถแบบนี้ได้อย่างไร วันนี้ อีจัน ขอพาไปทำความรู้จักกับ อ.ไพศาล แสงไชย ล่ามสวรรค์และนรกที่ให้ความช่วยเหลือมนุษย์กัน 

อ.ไพศาล แสนไชย เกิดเมื่อวันที่ 25 มี.ค. 2502 ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่ จ.ลำพูน บิดาชื่อ คุณพ่อสม แสนไชย มารดาชื่อ คุณแม่น้อย แสนไชย จบการศึกษาระดับประถมศึกษาจาก โรงเรียนหนองสาลี่ และโรงเรียนป่าซาง เข้าศึกษาต่อในระดับมัธยมที่โรงเรียนเมธีวุฒิกร ลำพูน ก่อนจะเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาสาขาธุรกิจ แผนกบริหารบัญชี จากวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ

ความตั้งใจเดิมของ อ.ไพศาล ในตอนนั้นคือต้องการที่จะทำงานในธนาคาร แต่สุดท้ายก็เลือกกลับมาประกอบอาชีพเกษตรกรอยู่ที่บ้านเกิด ส่วนการมีนิมิต หรือสัมผัสที่ 6 ของ อ.ไพศาล นั้น ต้องย้อนไปเมื่อ 7 พ.ย. ปี พ.ศ. 2524 ขณะนั้น อ.ไพศาล ยังเป็นนักศึกษาอยู่ ตอนนั้นจู่ๆ ก็รู้สึกอ่อนเพลีย หวิวๆคล้ายจะเป็นลม จึงตัดสินใจที่จะไปหาหมอ แต่ขณะที่กำลังแต่งตัวใส่เสื้อผ้า จู่ๆก็หมดเรี่ยวแรง ล้มฟุบลงบนที่นอน ก่อนจะนิมิตฝันไปว่า ตนเองกำลังยืนอยู่ที่สนามของวิทยาลัย แล้วมีชายชราอายุประมาณ 90 ปี สะพายย่ามตัดเย็บด้วยผ้าดิบสีขาว ที่ทางภาคเหนือใช้ใส่ห่อข้าว อาหาร หมาก เมี่ยง หรือ บุหรี่ให้คนสะพายนำหน้าศพ พร้อมกับตุงสามหางไปป่าช้า ซึ่งของทั้งหมดนี้เปรียบเหมือนเสบียงที่ให้ผู้ตายใช้เดินทางไปยังปรโลก

เมื่อชายชราเข้ามาใกล้กับ อ.ไพศาล จึงจำได้ว่า ชายคนนั้น คือ พ่ออุ๊ยโกน คำสม ซึ่งเป็นคนบ้านหนองสลึก ซึ่งอยู่ติดกับบ้านท่ากองิ้วที่เป็นบ้านของ อ.ไพศาล ซึ่งพ่ออุ๊ยโกน นั้น เสียชีวิตไปกว่า 10 ปีแล้ว ตอนที่ท่านมีชีวิตอยู่ท่านประกอบอาชีพช่างเหล็ก และได้ช่วยเหลือชาวบ้านในการเผาศพเป็นประจำ เพราะหมู่บ้านทางภาคเหนือนั้นไม่มีสัปเหร่อ จากนั้น อ.ไพศาล ก็ได้เอ่ยถามพ่ออุ๊ยคำไปว่า มาทำอะไรที่นี่อุ๊ยโกน ซึ่งพ่ออุ๊ยก็ตอบกลับมาว่า ก็มาหามึงไง เอานี่มาให้ด้วย รักษาไว้มานานแล้ว พร้อมๆกับล้วงมือไปหยิบข้าวเหนียวก้อนหนึ่งสีดำๆ พร้อมกับบอกให้ อ.ไพศาล กินซะ เพราะรักษาไว้ให้เองตั้งนานแล้ว ก่อนจะยัดเยียดข้าวก้อนนั้นให้ ข้าวดังกล่าวมีลักษณะคล้ายข้าวคลุกกับงาที่คนภาคเหนือนิยมรับประทาน อ.ไพศาล ลองกัดดูก็พบว่าอร่อยดีจึงกินจนหมดก้อน เมื่ออุ๊ยโกนเห็น อ.ไพศาล กินจนหมด ก็ได้เดินจากไปพร้อมกับร่างที่ค่อยๆเลือนหาย 

จากนั้น อ.ไพศาล สะดุ้งตื่นขึ้น ก่อนจะนึกทบทวนถึงสิ่งที่ตัวเองฝัน ซึ่งเขาจดจำมันได้ดีราวกับเกิดขึ้นจริง ความอ่อนเพลียก่อนหน้านี้ได้หายไป เปลี่ยนเป็นรู้สึกสดชื่น แข็งแรง กระทั่งเช้าวันต่อมายังคงรู้สึกสดชื่นเช่นกัน ไม่รู้สึกหิวใดๆ แต่รู้สึกอิ่มอยู่ตลอดยาวถึง 3 วัน จนวันที่ 4 ถึงจะรู้สึกหิวและเริ่มดื่มน้ำ รับประทานอาหารตามปกติ ก่อนจะเริ่มรู้สึกอ่อนเพลียอีกครั้งในวันที่ 14 พ.ย. จึงรีบเข้านอน คืนนั้นก็เกิดนิมิตว่าพึ่งกลับมาจากงานบุญที่ไหนสักที่ ขณะกำลังเดินขึ้นระเบียงบ้านก็พบกับชายคนหนึ่งอายุราว 50 ปี แต่กายเหมือนชุดนักรบโบราณทางภาคเหนือ ถือดาบในลักษณะเตรียมพร้อม สีหน้า แวดตา ดูขึงขัง กำลังจ้องดู อ.ไพศาล อย่างพินิจพิเคราะห์  

อ.ไพศาล จึงเอ่ยถามออกไปว่า มาหาใคร ชายในชุดนักรบก็บอกว่า มาหาเอ็งนั่นแหละ จำไม่ได้เหรอ จนชายคนดังกล่าวเริ่มแนะนำตัวว่า ข้ามีชื่อว่า พญาพิงคราช ส่วนเจ้านั้นเกิดมาเป็นเพื่อกับข้า เคยร่วมรบด้วยกัน ตัวเจ้ามีชื่อว่า พญาสิงหวิราช เมื่อตายไปแล้ว ก็ไปตามทางบุญกรรมที่ได้กระทำชาตินี้เจ้าก็จะหมดเวรหมดกรรมแล้ว ก่อนจะเอ่ยชวน อ.ไพศาล ไปยังที่แห่งหนึ่งโดยบอกว่าเป็นที่ทที่มนุษย์ทุกคนไปอยู่หลังตายจากโลกนี้ไปแล้ว แต่ อ.ไพศาล ปฏิเสธ ก่อนที่ชายคนดังกล่าวจะบอกว่า ไม่เป็น อีก 7 วัน บนโลกมนุษย์เราจะมาพบกันใหม่ และเมื่อครบ 7 วัน พญาพิงคราช ก็กลับมาหา อ.ไพศาล อีกครั้ง พร้อมกับมีของมาฝากซึ่งสิ่งของนั้นมีสีคล้ำ ลักษณะนุ่มนิ่ม พร้อมบอกให้ อ.ไพศาล กินเข้าไป พร้อมกับยังคงช่วยให้ อ.ไพศาล ไปดูโลกหน้าด้วยกันอีก แต่ตัวอาจารย์เองก็ได้ตอบปฏิเสธไปเช่นเดิม 

จนถึงการพบกันครั้งที่ 3 คราวนี้ พญาพิงคราช มาพร้อมกับพรภิกษุชรารูปหนึ่งชื่อว่า คันธาโร ได้ตายจากโลกมนุษย์มาพันกว่าปีแล้ว พร้อมกับเอ่ยชวนให้ อ.ไพศาล ไปดูโลกหน้าตามความต้องการของ พญาพิงคราช ซึ่งคราวนี้ อ.ไพศาล ตอบตกลง พระภิษุกคันธาโร จึงได้อธิบายว่าเหตุใด อ.ไพศาล จึงต้องไปดู ไปเห็นสิ่งเหล่านั้นซึ่งทั้งหมดก็เพื่อให้ได้รู้ได้เห็นถึงผลของบุญและบาปว่ามันส่งผลอย่างไรบ้าง และการเจอกันในครั้งที่ 4 อ.ไพศาล เริ่มเข้าสู่โลกของวิญญาณ นิมิตในคืนนี้ พญาพิงคราช กับ พระภิกษุคันธาโร ได้ดึงร่างของอาจารย์พาไปท่องยังโลกหน้าซึ่งมีทั้งโลกร้อนโลกเย็นซึ่งขึ้นอยู่กับบาปบุญที่แต่ละคนทำกันมา 

หลังจากที่ได้เดินทางไปยังโลกหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ตัวของ อ.ไพศาล ได้นำเรื่องราวต่างๆที่พบเจอมาบอกกับมนุษย์โลกให้รับทราบถึงเวรกรรมที่เคยก่อไว้ในอดีต เพื่อขอขมากรรมให้หมดทุกข์ หมดโศก หมดโรค หมดภัย อ.ไพศาล จึงเปรียเสมือนผู้นำสาส์นจากต่างภพ หรือล่ามจากโลกวิญญาณ ซึ่งตัวของ อ.ไพศาล ก็ได้ช่วยเหลือคน นิมิตถึงกรรมของแต่ละบุคคลเพื่อช่วยให้บุคคลนั้นได้ขอขมากรรมต่างๆ เพื่อบรรเทาวิบากกรรมต่างๆ 

ขอบคุณข้อมูลจาก : รายการ เล่าเรื่องลี้ลับ กับ หนุ่ม คงกระพัน