เมื่อวานนี้(10 พ.ค. 66) เวลา 09.30 น. ที่ศาลแขวงพระนครใต้ แขวงวัดพระยาไกร เขตบางคอแหลม กทม. ศาลชั้นต้นนัดอ่านคำพิพากษา คดีพิพาทระหว่าง นายณพ ณรงค์เดช (โจทก์) และ นายกฤษณ์ ณรงค์เดช (จำเลย) ถึงกรณีที่ดินที่เป็นทรัพย์สินของเจ้ามรดก ซึ่งเป็นมารดาผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วม โดยระบุยกให้ตามพินัยกรรมแก่ โจทก์ จำเลย และบุตรที่เหลือ ดังนั้นเมื่อที่ดินพิพาททั้ง 4 แปลง ตกแก่ทายาททั้งสามแล้ว ค่าเช่าที่ดินพิพาท รวมถึงผลประโยชน์อื่นใดที่ได้จากที่ดินที่ให้เช่า จึงเป็นดอกผลโดยนิตินัย และย่อมตกได้แก่ทายาททั้งสามด้วย มิใช่ทรัพย์มรดกที่จำเลยจะนำมาอ้างว่าตนเองในฐานะผู้จัดการมรดก ต้องนำไปจัดการตามคำสั่งเสียของเจ้ามรดก แต่จำเลยมีหน้าที่ต้องแบ่งดอกผลดังกล่าวให้แก่โจทก์และทายาทอื่นในฐานะผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วม
เมื่อจำเลยนำสืบยอมรับว่าไม่เคยแบ่งปันค่าเช่าและค่าเช่าช่วงที่พิพาททั้ง 4 แปลงให้แก่โจทก์ ซึ่งการกระทำของจำเลยจึงเป็นการเบียดบังทรัพย์สินของโจทก์ อันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานยักยอกทรัพย์
ศาลจึงมีคำพิพากษาว่า จำเลย มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 353 การกระทำความผิดของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 จำคุกกระทงละ 6 เดือน ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับว่ามีเหตุบรรเทาโทษลง ลดโทษให้กระทงละ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 4 เดือน รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 12 เดือน จำเลยต่อสู้คดี ทั้งยอมรับว่าไม่เคยแบ่งรายได้จากที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ โดยไม่รอลงอาญา
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกฤษณ์ ได้ยื่นประกันตัว และจะใช้สิทธิ์ในการอุทธรณ์ต่อไป