
“เพียวคิดว่าพระเจ้าไม่ได้รักเราเพราะเราเป็นเพศกะเทย หรือว่าเป็นผู้ชาย ผู้หญิง พระเจ้ารักเราที่จิตวิญญาณในร่างกายนี้ พระเจ้ารักเราเท่ากัน”
คริสเตียนในร่างสีรุ้ง แสดงตัวตนชัดเจนไม่ต้องปิดบังคนนี้ เป็นนักร้องเจ้าของรางวัลชนะเลิศถ้วยพระราชทาน เคพีเอ็น อวอร์ด เมื่อปี 2010 มาจนถึงเดอะวอยซ์ ออล สตาร์ ซีซีน 6 เมื่อปีที่ผ่านมา
เสียงร้องที่ราวกับพระเจ้าสร้าง บวกความกล้าแสดงออก ผ่านการขัดเกลาฝึกฝน ทำให้เพียวยืนหนึ่งในวงการในฐานะนักร้องคุณภาพ
“สองปีที่แล้ว ไปไหนก็เป็นผู้บ่าวหัวฟู ฟีล บรูโน มาร์ แต่พอร้องเพลงเราก็จะเต็มที่ออกสาวมาก คนก็ไม่ว่าอะไร แต่ครั้งหนึ่งพอไปงานร้านที่เป็นแดรกควีน เพียวก็..โอมายก้อดชั้นอยากแต่งหน้า ติดขนตา ใส่ส้นสูงจังเลย เพียวก็เลยลอง โอ้โห พอแต่งแล้วเพียวรู้สึกสวยค่ะ รู้สึกเป็นตัวเอง มันมั่นใจ ”

แต่งบอยไม่ค่อยเกิด พอเปิดตัวแต่งหญิงงานปัง เพียวจึงตัดสินใจประกาศความเป็นตัวเองชัดเจน
“สมัยก่อน เพียวเคย come out แต่ไม่แรงอย่างนี้ ตอนนั้นยังเป็นเกย์ แต่ตอนนี้เป็นกะเทย ..ความจริงเป็นกะเทยมานานแล้ว แต่พอออกสื่อเยอะไปคนก็จะรู้สึกว่าอีนี่เยอะ แล้วพอเปลี่ยนแบบนี้ ก็เป็นตัวเองจริง ๆ อยากใส่อะไรก็ใส่ ชั้นไม่แคร์ คนก็จ้างชั้นไปร้องเพลงในลุคส์ส้นสูงได้นี่
เพียวเคยไปร้องเพลงในกรมทหารด้วยนะคะ ทหารเขายืนมาดเข้ม เพียวก็ส้นสูงเดินสับ ๆ ๆ ไป ยืนร้องข้างหน้า เหมือนหนังฝรั่ง รู้สึกตัวเองเป็นวิทนีย์”
วิทนีย์ ฮุสตัน คือนักร้องขวัญใจเพียว ใช้เป็นต้นแบบในการร้องเพลงตลอดมา วันที่คุณแม่วิทนีย์จากไป เพียวเศร้าอยู่นาน

ชื่อเพียวไม่ได้หมายถึง Pure ที่แปลว่าบริสุทธิ์ แต่.. “ พ่อชอบกินเหล้าเพียว ๆ ไงคะ ก็เลยชื่อเพียว”
เพียวเป็นเด็กร้อยเอ็ด เกิดในครอบครัวชาวนา และมีแม่ทำโรงงานเสื้อผ้า มารับผ้าที่กรุงเทพฯไปตัดเย็บเป็นอีกหนึ่งอาชีพ เพียวจึงมีหัวศิลปะทางด้านเสื้อผ้า และชอบนำผ้าสารพัดของแม่มาประกอบการร้องเพลงตั้งแต่เด็ก อย่างที่เห็นในชุดขนไก่พองฟูสีรุ้งซิงเกิ้ลล่าสุด ก็มาจากแรงบันดาลใจวัยเยาว์
“เวลาแม่ไม่อยู่ชอบเอาผ้าแม่มาพันมาเล่นเป็นชุด แต่เวลาแม่อยู่ห้ามเป็นกะเทย มีครั้งหนึ่งแม่รู้ว่าเป็นกะเทย เพื่อนมาบอก (ป้องปาก) “แม่ก้อย บักเพียวมันเป็นกะเท้ย มันเอาซุดผ้าที่แม่ตัดไปเต้นอยู่โรงเรียน มันน่ะ กะเท้ย .. ” เพียวกลับบ้านมาก็โดนแม่ตีเลยค่ะ ”
แต่เรื่องดนตรีนั้นแม่ไม่ห้าม
เพราะที่บ้านเปิดเพลงตลอดเวลา เปิดอัศนี วสันต์ เปิดทาทายัง เปิดทุกอย่างที่เป็นเพลง แม่ชอบฟังเพลง ไม่ปิดกั้นเรื่องเพลง มันเป็นสิ่งเดียวที่เพียวรู้สึกว่าเป็นอิสระที่แม่ให้ รอดจากการที่ปิดกั้นไม่ให้เป็นกะเทย
“ปิดเทอมก็ไปเลี้ยงวัว ปีนต้นไม้ขึ้นไปร้องเพลง เพื่อน ๆ ก็จะร้องเพลงพุ่มพวง เพียวร้องเพลงฝรั่ง ”

อิสรภาพนั้นพาให้เพียวมาถึงวันนี้ เปลี่ยนจากครอบครัวชาวนาฐานะยากจน กลายเป็นศิลปิน
“พ่อแม่เป็นหนี้ ธกส. ค่ะ ที่บ้านหนี้เยอะและยากจนค่ะ แม่ไม่ได้รับการศึกษาตอนเด็ก ก็เลยอยากให้เพียวเรียนหนังสือระดับปริญญาตรีค่ะ เพียวเป็นเจนเนอเรชั่นแรกของครอบครัวในตระกูลเพียวเลยนะคะ ที่ได้เรียน ตอนนั้นไม่มีตังค์เลยนะคะ เพียวก็ได้ไปเรียนภาษาอังกฤษที่ศูนย์ภาษาอังกฤษที่บ้านโนน กับคุณครูมิชชันนารี แล้วเพียวก็ได้เปลี่ยนเป็นคริสเตียนตอนนั้น
ความจริงอยากเรียนมหาวิทยาลัย แต่แม่ก็ไม่รู้ว่าจะให้เรียนอะไร ไม่รู้ว่าการเรียนดนตรีคืออะไร เพียวประกวดร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก แม่เห็นว่าร้องเพลงได้ที่หนึ่ง ก็เลยให้เรียนมหาวิทยาลัยในด้านดนตรี ก็ไม่มีตังค์เรียน ม.รังสิตหรอกค่ะ เพราะค่าเทอมแพง แต่เพียวก็สอบชิงทุน ได้ทุนเต็มจำนวนเรียนมาจนจบ
จากนั้นก็ประกวดเคพีเอ็นค่ะ ( เวทีเดียวในประเทศไทย ที่นักร้องผู้ชนะเลิศได้รับรางวัลเป็นถ้วยพระราชทาน ปัจจุบันหยุดพักการประกวดไปแล้ว ) และมาปีที่แล้วก็ไปเดอะวอยซ์ค่ะ

ความยากลำบากในชีวิตที่เราเจอมาทำให้เป็นเพียวทุกวันนี้ ถ้าเราไม่เจออุปสรรคที่เราเจอมาในสมัยก่อน เราจะไม่ร้องเพลงได้อย่างนี้ เพราะการร้องเพลงของเพียวคือการเล่าเรื่อง คือการสั่งสมประสบการณ์ ถ้าให้เพียวย้อนไปฟังตัวเองเมื่อตอนอายุสิบแปด เพียวก็ไม่ชอบตัวเองตอนนั้น ตอนนี้เราพัฒนาตัวเองมาเยอะมาก ความสู้ชีวิตทำให้เราร้องเพลงได้ดีขึ้น ถ้าเราไม่ได้เจอปัญหา เพียวจะร้องเพลงไม่ลึกซึ้งเลย
เพียวร้องเพลงเพื่อให้มีชีวิตอยู่ ก่อนหน้านี้เพียวก็ร้องเพลงกลางคืนเพื่อช่วยพ่อแม่ พอถึงตอนนี้ได้ร้องเพลงจริง ๆ บนเวทีให้คนทั้งประเทศฟัง เพียวรู้สึกว่าฉันไม่ได้พยายาม เพียวแค่สั่งสมมาเรื่อย ๆ จนเป็นวันนี้
ที่เพียวร้องเพลงสากลเพราะมันเปิดโลกเพียว โดยเฉพาะเพลงฝรั่ง อย่างมาราย Love takes time ก็ เฮ้ย มันร้องแบบนี้ได้ด้วยเหรอ เพียวก็ศึกษาเพลง gospel เพลง jass..”
เพียวฝึกร้องเพลงด้วยตัวเอง อย่างที่เพียวบอกว่าเป็นเสียงที่พระเจ้าให้มา แล้วจึงมาเรียนร้องเพลงเป็นครั้งแรกที่ ม.รังสิต ซึ่งปรากฏการณ์ที่มั่นใจในการเป็นนักร้องเกิดขึ้นในช่วงนั้นเอง
“คือเพียวมาสอบ ม.รังสิต เพียวไม่มีที่อยู่เพียวก็เลยพักที่โบสถ์ที่สะพานควาย อ.ดร.นันทชัย ท่านเป็นนักเทศน์ ท่านก็พาเพียวไปด้วย พอเทศน์เสร็จก็ให้เพียวร้องเพลงพิเศษ จำได้ว่าเพียวร้องเพลง When you believe พอร้องเสร็จลงมา มีคนร้องไห้ น้ำตาไหลบอกเพียวว่าไม่เคยมีใครทำให้เขารู้สึกอย่างนี้ เหมือนเป็นเสียงพระเจ้าให้มา เพียวก็เลยคิดว่าพระเจ้าคงให้เราเป็นนักร้องจริงจัง เพียวก็เลยเชื่ออย่างนั้น และร้องเพลงต่อมาไม่เคยหยุด”

รูปลักษณ์ที่ขัดแย้งกับเสียงและการแสดงบนเวที ค่อย ๆ สร้างตัวตนจนกล้าแกร่ง
“เมื่อก่อนน้อยเนื้อต่ำใจ ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง สิ่งที่ดีที่สุดคือเสียงของเรา รู้สึกว่าเสียงของเราสวย ช่วงแรก ๆ ที่เราใส่ส้นสูงไปร้องแล้วคนมองเพียวก็เสียเซลฟ์นะ แต่พอเพียวได้แชมป์ เพียวเชิดแล้วค่ะ เพียวต้องขอบคุณคนในโลกออนไลน์ น้อง ๆ กะเทย และเพจต่าง ๆ โหวตให้เพียวเยอะ เพียวต้องขอบคุณจริง ๆ นะคะ”
แต่ถ้ามีใครสักคนอยากเดินตามรอยเพียว เพียวบอกว่า “อย่าเป็นแบบเพียวเลยค่ะ เป็นแบบตัวเองเถอะ เราเปลี่ยนตัวเองไม่ได้ จำไว้นะคะ ให้ตกหลุมรักกับตัวเองก่อน”
ส่วนในเรื่องความรัก เพียวทำตาระยิบระยับเปิดเผยว่ามีคนที่รู้ใจกันแล้ว
“อยากจดทะเบียนสมรสค่ะ เพียวมีคนจ้างไปร้องงานแต่งเยอะ แล้วพอเห็นผู้ชายผู้หญิงแต่งงานกัน กลับมามองตัวเรา เอ๊ เราก็อยากมีโมเมนต์นั้น มันเศร้า เราไม่มีสิทธิ์แบบเขา แต่เพียวก็มีความหวังนะคะ
ในทางศาสนาก็แล้วแต่ แต่ในทางกฎหมายเราต้องแต่งงานได้ รับรองเราเท่ากับชายหญิง”
เพียว เอกพันธ์ วรรณสุทธ์ ปิดท้าย พร้อมกับฝากเพลง ไม่ได้เป็นของใคร This is your life ที่ร้องจากประสบการณ์ชีวิต ให้เปิดฟังแล้วเป็นเพื่อนปลอบใจยามท้อค่ะ