ชูวิทย์ เข้าพบ บิ๊กโจ๊ก ยื่นเอกสาร ปม ซื้อขายที่ดิน ทองหล่อ

ชูวิทย์ หอบหลักฐาน ยื่น บิ๊กโจ๊ก กล่าวโทษ คณะกรรมการบริษัทใหญ่ ปม ซื้อขายที่ดิน ทองหล่อ ข้อหา ทำเอกสารอันเป็นเท็จ จัดตั้งบริษัทนอมินี และ ฟอกเงิน

ชูวิทย์ นำหลักฐาน ยื่นบิ๊กโจ๊ก เพื่อกล่าวโทษต่อคณะกรรมการบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และกลุ่มบุคคลที่มีพฤติการณ์เป็นนอมินีซื้อขายที่ดิน ในข้อข้อหาทำเอกสารอันเป็นเท็จ จัดตั้งบริษัทนอมินี และ ฟอกเงิน

เมื่อเวลา 10.30 น. วันนี้ (17 ส.ค. 66) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ เดินทางมาที่สโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ เพื่อยื่นเรื่องต่อ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. กล่าวโทษคณะกรรมการบริษัทแสนสิริ และกลุ่มนอมินี ว่าอาจเข้าข่ายความผิดข้อหาทำเอกสารอันเป็นเท็จ จัดตั้งบริษัทนอมินี และฟอกเงิน

นายชูวิทย์ กล่าวว่า วันนี้ได้นำหลักฐานมายื่นเรื่องต่อ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ โดยเป็นหลักฐานทุกชิ้นของที่ดินทั้งแปลงที่ถนนสารสิน และที่ทองหล่อ โดยที่ดินถนนสารสินนั้น ต้องการยื่นให้ตรวจสอบว่ามีเจตนาในการหลบเลี่ยงภาษีหรือไม่ จากการที่ ใช้วิธีการแบ่งโอน 12 คน 12 วัน และยังมีข้อมูลชิ้นสำคัญ ซึ่งกรมที่ดิน กรมสรรพากร ล้วนตัดสินมาก่อนแล้วในแนวทางเดียวกัน ซึ่งตนจะนำมายื่นให้ตำรวจตรวจสอบว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการหลบเลี่ยงภาษี ไม่ใช่การวางแผนภาษี

ส่วนที่ดินที่ทองหล่อนั้น นำข้อมูลมายื่นให้ตรวจสอบ กรณีที่พบว่ามีการจัดตั้งนอมินี คือ แม่บ้านที่อยู่จังหวัดร้อยเอ็ด และ รปภ. ที่อยู่จังหวัดมหาสารคาม เข้ามาเป็นผู้ซื้อขายที่ดิน โดยหากสงสัยว่า ทั้งแม่บ้านและ รปภ. เป็นนอมินีของใคร ก็ให้ดูหลักฐานในวันที่ 11 ก.พ.2558 ว่านอมินีได้เงินมาจากใคร โดยในวันเดียวกัน พบว่ามีการทำ 3 นิติกรรม คือเปลี่ยนชื่อผู้ถือหุ้นบริษัท N. กู้เงิน 1 พันล้านบาทจากบริษัทลูกของบริษัทแสนสิริ และปลดจำนองหนี้กับธนาคาร 465 ล้านบาท

โดยการที่เจ้าของที่ดินในนามบริษัท N. จะขายที่ดินราคา 500 กว่าล้านบาทนั้น แน่นอนว่าต้องมีการเจรจากับผู้ซื้อ ตนจึงจะขอให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เรียกเจ้าของที่ดินในนามบริษัท N. ซึ่งเป็นนายแพทย์อยู่ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์มาสอบถามว่า ได้เจรจาซื้อขายที่ดินกับใคร และตนเชื่อว่านายแพทย์คงไม่โกหก

นอกจากนี้ จะขอให้เรียกแม่บ้าน และ รปภ. ที่มีชื่อเป็นผู้รับซื้อที่ดิน และกู้ยืมเงินจากบริษัทลูกของบริษัทแสนสิริ แต่ได้ออกมาบอกก่อนหน้านี้ว่าไม่รู้เรื่องและไม่เกี่ยวข้องในการซื้อที่ดิน มาสอบถามว่า สรุปแล้วใครเป็นผู้ไปทำนิติกรรมซื้อขาย ใครเข้าประชุมบริษัท ใครไปที่กรมที่ดิน

นายชูวิทย์ ระบุว่า ไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องประเด็นการเมือง จึงขอให้รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทำการตรวจสอบ เพราะท่านเป็นคนตรงไปตรงมาและชัดเจน หวังว่าบ้านเมืองนี้จะมีคนที่ชัดเจนตรงไปตรงมา แค่เรียกสอบแม่บ้าน รปภ. เจ้าของที่ดินเก่า ก็ถือว่าจบแล้ว

นายชูวิทย์ กล่าวต่ออ้างว่า บริษัทแสนสิริ มีพฤติการณ์เข้าข่ายฉ้อโกงนำเงินของประชาชนไปให้กู้ผิดกฎหมาย หลายบท หลายกรรม เรื่องนี้จำเป็นที่ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ต้องทำให้ชัดเจน ไม่เช่นนั้น ตลาดหลักทรัพย์จะกลายเป็นตลาดหลักโกง และเงินส่วนต่าง 400 กว่าล้านบาทนั้นหายไปไหน ตนก็หวังว่า รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะทำเรื่องนี้ให้ปรากฏ

เมื่อถามว่ากรณีของบุคคลที่เป็นนอมินี จะเป็นการถูกสวมบัตรประชาชนหรือไม่ เพราะเจ้าตัวออกมาปฎิเสธว่าไม่รู้เรื่อง นายชูวิทย์กล่าวว่า ตามหลักที่ธนาคารจะปล่อยกู้เงินหลัก 1 พันล้านบาท ธนาคารต้องตรวจสอบผู้กู้อย่างเข้มงวด คงไม่ได้ง่ายเหมือนการกู้เงินผ่านแอปพลิเคชั่น

เมื่อถามต่อว่า กรณีมีผู้ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่าการขายที่ดินของบริษัทของลูกนายชูวิทย์ มีการขายที่ดินมูลค่ากว่า 2 พันล้านบาท และหลบเลี่ยงภาษีกว่า 900 ล้านบาท พฤติการณ์นี้เหมือนของบริษัทแสนสิริหรือไม่ นายชูวิทย์ ถามกลับสื่อมวลชนว่า รู้ไหมว่าตนเรียนจบอะไร ตนเรียนจบภาษี ไม่เคยมีนอมินี

นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า ในวันจันทร์ที่ 21 ส.ค. นี้ เวลา 13.00 น. จะเปิดโปงเรื่องนี้เป็นอีพีสุดท้าย ก่อนวันโหวตนายกรัฐมนตรี โดยได้มีการแกะร่องรอยไปจนถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่อยู่ในต่างประเทศ ที่จะทำให้เห็นว่าบริษัทนอมินีที่ตั้งขึ้นมา มีตัวตนจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงเปลือกนอก เอาที่อยู่มาสวมไว้ โดยพบว่ามีการยักย้ายถ่ายเทเงินไปที่บริษัทดังกล่าวถึง กว่า 1,300 ล้านบาท

ขณะที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า จะรับเรื่องที่นายชูวิทย์นำมายื่นไว้ดำเนินการตรวจสอบทุกกรณี เพื่อให้ความจริงปรากฏต่อสังคม โดยจะทำอย่างตรงไปตรงมา หากพบว่ามีการกระทำผิดก็ต้องดำเนินการ ซึ่งจะเร่งรัดดำเนินการให้เร็วที่สุด และจะเรียกสอบพยานบุคคลตามที่นายชูวิทย์ได้ยื่นหลักฐานมา พร้อมเน้นย้ำว่า บ้านเมืองมีระบบการตรวจสอบ หากใครคิดจะโกงนั้นทำไม่ได้แน่นอน