รัฐบาลแห่งชาติ!!!
กลายเป็นคำที่ได้ยินถี่ยิบในช่วงนี้ หลังจากเมื่อวันที่ 31 พ.ค.66 นายจเด็จ อินสว่าง สมาชิกวุฒิสภา ออกมาให้ความเห็นว่า มีแนวคิดที่อยากเสนอในชั้นกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ในฐานะรองประธาน กมธ. ว่า สิ่งที่ตอบโจทย์การเมืองได้ตอนนี้คือ “รัฐบาลแห่งชาติ” โดยแต่ละพรรคนำข้อดีของตนเองร่วมทำงานเพื่อบ้านเมือง สร้างความแข็งแกร่งของสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ โดยโมเดลของตนคือให้ทุกพรรคนำส่วนที่ดีมาทำงานร่วมกัน ประสานประโยชน์ พุ่งเป้าที่ความมั่นคงของชาติ
หลังข่าวนี้แพร่ออกไป น.ต. ศิธา ทิวารี เลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย ได้ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ทันที ว่า
…สมาชิกวุฒิสภา เสนอให้งดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา เพื่อตั้ง #รัฐบาลแห่งชาติ
ผมว่างดใช้รัฐธรรมนูญมาตราเดียว
ไม่ต้องให้ #สว250คน มาเลือกนายก
เราก็ได้ #รัฐบาลแห่งประชาชน แล้วครับ
#สวมีไว้ทำไม
ประเด็นดังกล่าวทำให้แฮชแท็ก สว.มีไว้ทำไม ติดเทรนด์ทวิตเตอร์ทันที โดยเนื้อหาที่ถกเถียงกันในทวิตเตอร์เป็นเรื่องเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาล 2566 หลังรู้ผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พ.ค.66 ซึ่งพรรคก้าวไกลได้คะแนนมากเป็นอันดับหนึ่งและอยู่ระหว่างรวมกับอีก 7 พรรคการเมืองเพื่อจัดตั้งรัฐบาล
วันนี้คำว่า “รัฐบาลแห่งชาติ” มาแรง เรามารู้ความหมายของคำนี้กัน
คำว่า “รัฐบาลแห่งชาติ” ยังเป็นข้อเสนอที่ไม่ได้มีคำนิยามอย่างแน่ชัด
นับตั้งแต่ช่วงที่มีการชุมนุมของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) เพื่อขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในปี 2556-2557 จนถึงหลังการเลือกตั้งในปี 2562 ข้อเสนอเรื่อง “รัฐบาลแห่งชาติ” เกิดขึ้นอย่างน้อย 4 ครั้ง
แต่ที่สุดแล้วก็ไม่ได้เกิดขึ้น
กระทั่งการเลือกตั้งครั้งล่าสุด 14 พ.ค.66 คำว่า “รัฐบาลแห่งชาติ” กลับมาอีกครั้ง
โดยคำว่ารัฐบาลแห่งชาติในประเทศไทย จะถูกโยงเข้ากับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็น นายกรัฐมนตรีคนกลาง, นายกรัฐมนตรีคนนอก หรือนายกรัฐมนตรีพระราชทาน ที่มักจะไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และได้รับการแต่งตั้งในช่วงเวลาที่ประเทศไทยเกิดความขัดแย้งทางการเมือง โดยตำแหน่งนายกดังกล่าวกับรัฐบาลแห่งชาติ มีความเกี่ยวโยงกันดังนี้
นายกรัฐมนตรีคนกลาง ในการเสนอ รัฐบาลแห่งชาติ มักถูกโยงเข้ากับพรรคการเมืองและคนที่เสนอเป็นหลัก เพื่อจัดตั้งเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจที่ไม่มีฝ่ายค้าน และทำหน้าที่เพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น สำหรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนกลาง มักถูกหยิบยกมาพูดเมื่อประเทศไทยเจอกับวิกฤตทางการเมืองมักลงเอยด้วยทางเลือก 3 ทาง ได้แก่ 1. ยุบสภา แล้วเลือกตั้งใหม่ 2. ไม่ยุบสภา แต่ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย และ 3. ไม่ยุบสภา แต่ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ
นายกรัฐมนตรีคนนอก เป็นการกล่าวถึงนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งกระแสนายกรัฐมนตรีคนนอก ได้รับการกล่าวถึงบ่อยครั้งนับตั้งแต่ประเทศไทยมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 จนถึงช่วงการเลือกตั้งปี 2562 เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวไม่ได้ระบุคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีว่าต้องเป็น ส.ส
นายกรัฐมนตรีพระราชทาน คือนายกรัฐมนตรีที่มาจากการแต่งตั้งของพระมหากษัตริย์ เป็นรูปแบบการใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ในระบอบประชาธิปไตยที่สืบทอดมาจากประเพณีการปกครองดั้งเดิม โดยมักระบุข้อความไว้ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว หลังจากเกิดการรัฐประหารว่า “ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
สำหรับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย พ.ศ. 2560 ได้มีการระบุไว้ในมาตรา 5 พระมหากษัตริย์ทรงไม่สามารถจัดตั้งนายกรัฐมนตรีพระราชทานได้ทันที ต้องสงวนไว้ใช้ในสถานการณ์พิเศษเท่านั้น เช่น เกิดวิกฤตทางการเมืองอย่างรุนแรง กระทั่งไม่มีผู้ใดรับเป็นผู้สนองพระบรมราชโองการ หรือไม่มีตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่จะอำนวยการในการบริหารประเทศ ณ ขณะนั้น
ทว่า สถานการณ์ทางการเมือง ณ เวลานี้ 1 มิ.ย.66 ที่เพิ่งผ่านการเลือกตั้งมาเพียงครึ่งเดือน จึงยังมีเวลาที่พรรคก้าวไกล พรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนเสียงจากการเลือกตั้งเป็นอันดับ 1 จะเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาล 2566 เนื่องจากตามไทม์ไลน์การจัดตั้งรัฐบาล 2566 คือ
-ภายใน 13 กรกฎาคม 2566 กกต. ประกาศผลการเลือกตั้ง ส.ส.ครบ 500 คน
-ก่อนสิ้นเดือนกรกฎาคม 2566 เปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร โหวตเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร
-จากนั้นปลายเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2566 โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่
-และต้นเดือนสิงหาคม 2566 จัดตั้งรัฐบาล ทูลเกล้าฯ รายชื่อคณะรัฐมนตรี (ครม.)
อ้างอิงข้อมูล : https://ilaw.or.th/node/5246