ชูวิทย์ ฟ้อง เศรษฐา เรียกค่าเสียหาย 90,000 บาท

ชูวิทย์ ฟ้อง เศรษฐา และ ทนายวิญญัติ ใน 3 ข้อหา พร้อมเรียกค่าเสียหาย 90,000 บาท และ ยื่นสอบมรรยาททนายความ

16 ส.ค.2566 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เดินทางมาที่ศาลอาญารัชดา เพื่อยื่นคำฟ้อง เอาผิด นายเศรษฐา ทวีสิน และนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ ในข้อหาฟ้องเท็จ หมิ่นประมาท และละเมิด พรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พร้อมเรียกค่าเสียหาย 9 หมื่นบาท ในกรณีที่ นายเศรษฐา ส่งนายวิญญัติ มายื่นฟ้องตนเองที่ศาลอาญา เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา กล่าวหากรณีหลีกเลี่ยงภาษีซื้อที่ดินย่านถนนสารสิน และขอให้ลบข้อความวัตถุพยานที่เกี่ยวข้องกับการแสดงข้อมูลในครั้งนั้น และเรียกค่าเสียหาย 500 ล้านบาท 

นายชูวิทย์ บอกว่า การที่ตนเองมายื่นฟ้องนายเศรษฐา และนายวิญญัติ เพื่อให้ความจริงปรากฏต่อหน้าศาล เมื่อฟ้องมาตนเองก็จะฟ้องกลับ เพราะเมื่อนายเศรษฐา ลงชื่อจะเป็นแคนดิเดทนายกรัฐมนตรี และในฐานะตนเองเป็นประชาชน ก็มีสิทธิ์ ตรวจสอบได้ทุกประการ ทั้งเรื่อง ที่ดินสารสิน 12 คนโอน12 วัน ที่ดินที่ทองหล่อซอย 12 ล่าสุดที่ตนแฉไป  

นายชูวิทย์ ยังบอกอีกว่า อย่าคิดว่าตนเองจะกลัว เพราะตนเองจะไปยื่นฟ้องที่สถาทนายความให้ตรวจสอบมรรยาททนายความของนายวิญญัติ ในกรณีที่เปิดเผย พรบ.ข้อมูลส่วนบุคคลที่ ต้องได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายซึ่งตนมองว่า นายวิญญัติ อาจจะเล่นการเมืองเกินไปจนไม่รู้ข้อกฎหมาย 

ส่วนเงินที่ตนเองเรียกไป จำนวนเพียง 9 หมื่นบาท นั้นมาจากจำนวนเงินวันละ 1 หมื่นบาท นับตั้งแต่ที่ นายวิญญัติ มายื่นฟ้องตนเมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา จนถึงวันที่ 15 สิงหาคม จำนวน 9 วัน เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนเองไม่ได้อยากได้เงินแต่ต้องการเพียงข้อเท็จจริงเท่านั้น แต่ทางฝั่งนายเศรษฐา กลับเรียกเงินจากตนเอง จำนวนถึง 5 ร้อยล้านบาท  และนายชูวิทย์ ยังมั่นใจว่าการยื่นฟ้องในครั้งนี้ศาลจะรับคำฟ้องแน่นอนเพราะหลักฐานที่มี มันชัดเจน อีกทั้งที่ผ่านมาตนเองเคยฟ้อง ทนายษิทธา และ นาย สันธนะ มาแล้ว ซึ่งศาลท่านก็รับฟ้องทั้งหมด  

โดยวันพรุ่งนี้ (17 ส.ค.) เวลา 10 โมง นายชูวิทย์ จะเดินทางไป พบกับพลตำรวจเอก สุรเชษฐ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อนำข้อมูลหลักฐานไปให้และต้องการให้บิ๊กโจ๊ก เรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้ง ตัวละครที่เป็นแม่บ้าน เป็น รปภ. เจ้าหน้าที่กรมที่ดิน และหน่วยงานทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง และนอมินีทุกคน มาสอบปากคำ เพื่อให้ความจริงกระจ่าง เพราะถือว่าพฤติกรรมของนายเศรษฐาเป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจรูปแบบนึง และเชื่อว่าพฤติกรรมร้ายกาจแบบนี้ถ้าไม่ใช่ผมก็คงไม่มีใครกล้าออกมาแฉ   และจากนั้นก็จะเดินทางไปยังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อให้สอบสวน บริษัท แสนสิริ ว่ามีการทำสัญญาซื้อขาย กู้ รวมถึงรายรับรายจ่ายทั้งหมดของบริษัท เพราะก็ถือว่า ตนเอง ก็เป็น 1 ในผู้เสียหาย เนื่องจากตนเองก็ถือหุ้นแสนสิริ เช่นกัน จำนวน 2 หมื่นหุ้น ซึ่งตนเองก็ถือหุ้นมานานแล้วเพราะหุ้นแสนสิริก็อยู่ในตลาดหลักทรัพย์  

นายชูวิทย์ บอกว่าตัวเองขำ ขำเพราะว่าเมื่อวานนี้มีการแฉ EP.2 ซึ่งเป็นการขุดหลุมพรางไว้ ซึ่งบริษัทแสนสิริก็ตกหลุมพรางในทันที โดยการแถลงข่าวตอบโต้ บอกว่าไม่รู้เรื่อง และหากจำได้ตนแฉเอกสารที่เป็นสัญญาจำนองที่ดิน พร้อมตั้งคำถามว่า หากบริษัทจะซื้อที่ก็ซื้อไปเลยทำไมต้องทำสัญญาจำนอง  พร้อมถามว่าคนที่ไปซื้อคิดได้ยังไง จะซื้อที่แต่ไปทำสัญญาจำนองก่อน แล้วค่อยครอบสัญญาจำนองโดยสัญญาจะซื้อจะขาย 

จากนั้นนายชูวิทย์ได้โชว์สัญญาจำนอง บ.อักษรย่อ N (เอ็นแอนด์เอ็น) และบริษัท อักษรย่อ อ. (อาณาวรรธน์) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของแสนสิริ หุ้น 99.99% พร้อมจำนวนเงิน 1 พันล้าน  

ถามย้ำว่าทำไมถึงทำสัญญาจำนองก่อนค่อยทำสัญญาซื้อขายในเวลาต่อมา นั่นเพราะว่า คุณจ่ายเงิน 1 พันล้านบาทให้กับนอมินี และเอา 1 พันล้านที่ บวมค่าที่หายไป แล้วค่อยไปซื้อ ซึ่งตนมองว่าตรงนี้มันแปลกและอยากรู้ว่าทำแบบนี้ไปทำไม 

และถามอีกว่าแล้วเงินทอน 435 ล้านบาทไปไหน 

นายชูวิทย์ ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า เจ้าของลายเซ็นในสัญญาจำนองนาย ส. (สมศักดิ์) ที่เป็น รปภ.เป็นคนเซ็น ซึ่งมีหุ้น 1 หุ้น  

ต่อมานาย ส.ขายทิ้ง ก่อนที่จะเอานาย ย. มาแทน ก่อนที่จะปล่อยบริษัททิ้งร้างโดยไม่ส่งงบต่อกัน 5 ปี 

นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า นายเศรษฐา จะขึ้นเป็นนายกฯการกระทำพฤติการณ์ซ่อนเร้นแบบนี้ พ่อค้าอย่างตนรู้เช่นเห็นชาติดี ซึ่งกล้ามาฟ้องตน ตนก็กล้าฟ้องกลับ แลกกันหมัดต่อหมัดที่ศาล ยืนยันมีพยานหลักฐานครบถ้วน พร้อมกันนี้ยังคงยืนยันว่าเรื่องนี้พูดเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน 

อีกอย่างการเป็นบริษัทมหาชนต้องมีธรรมาภิบาลโปร่งใสและตรวจสอบได้  แต่คุณกลับให้แม่บ้านและรปภ. มากู้ แล้วเหตุใดตอนชี้แจงทำไมไม่ชี้แจงประเด็นนี้ ซึ่งเจ้าของเก่าคือหมอ น. (นเรนท์) ซึ่งอยู่ รพ.บำรุงราษฎร์ ให้ไปถามหรือว่าเจ้าของดั้งเดิมคนนี้คุยกับใครในการขาย แม่บ้านหรือ รปภ.เหรอ 

จากนั้นนายชูวิทย์ ยกบอร์ดขึ้นมาให้ไปตามหาบุคคลคนหนึ่ง นาง ว. (วิไล) ที่ถือหุ้น 33.33% ของ บริษัทรักษาความปลอดภัย อักษรย่อ พ. (เพาเวอร์) ว่าคนๆนี้เป็นพี่สาวของใคร 

และนายชูวิทย์ ยังเชื่อว่า แม้ว่าจะมีการโหวตให้นายเศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรีแต่ก็จะอยู่ไม่ถึง 3 เดือน เพราะจากหลักฐานที่ผมมาเปิดโปงนั้น แสดงให้เห็นพฤติกรรมของนายเศรษฐา 

ส่วนที่ นายเศรษฐา ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า นายชูวิทย์ บิดเบืองข้อมูล นาย ชูวิทย์ได้ถามกลับไปว่าตนเองบิดเบือนตรงไหน และถามกลับว่าที่ปล่อยเงินกู้ 1 พันล้านบาท ให้แม่บ้านและรปภ. ไม่เคยเจอตัวกันเลยเหรอ ไม่เคยอยากรู้เหรอว่าเค้าทำอาชีพอะไรทำงานอะไรที่ไหนถึงปล่อยเงินกู้ไปตั้ง 1 พันล้านบาท / และนายชูวิทย์ยังฝากไปถึง แม่บ้าน เชื่อว่าจะต้องมีการได้ส่วนแบ่งไม่มากก็น้อยแต่อาจจะได้ไม่เยอะ และ บอกอีกว่า แม่บ้านจะต้องเลือกว่าจะเป็นพยานหรือเป็นผู้ต้องหา แต่กรณีนี้ เพราะเชื่อว่าแม่บ้านดังกล่าวมีคนไปบอกให้เงียบ และบอกไปว่าไม่เกี่ยวข้อง ถ้าเป็นอย่างงั้นจะถือว่าเป็นการแจ้งความเท็จ และยังบอกอีกว่า พฤติกรรมของเศรษฐาที่ปล่อยกู้ให้กับแม่บ้านและรปภ. ถึง 1 พันล้าน ยังไม่เป็นที่กับที่น่าสงสัยอีกเหรอ 

เมื่อถามว่าการโหวตนายกฯจะราบรื่นหรือไม่ เนื่องจากว่าพรรคเพื่อไทยยังคงยืนยันว่าจะเสนอชื่อนายเศรษฐา ชิงตำแหน่งนายกฯ นายชูวิทย์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยถามคุณทักษิณแล้วหรือยัง เพราะเมื่อเช้ามีคนรายงานไปให้คุณทักษิณทราบแล้วว่าเรื่องราวเป็นแบบนี้ “ท่านๆๆ เป็นเหมือนท่านเด๊ะเลย ตอนท่านนั้นซุกหุ้นให้กับคนขับรถและแม่บ้าน ส่วนกรณีนี้ก็ ให้มัดจำซื้อขายมูลค่า 1,000 ล้านบาทกับแม่บ้านและรปภ. จะทำยังไงดี” 

เมื่อถามถึง รปภ. คือ นาย ส. หากไปสืบค้นดู เคยเป็นกรรมการบริษัทรับเหมาก่อสร้างหลายแห่ง แสดงว่ามีกระบวนการแบบนี้ในภาคธุรกิจใช่หรือไม่ นายชูวิทย์ กล่าวว่า มีมากกว่านั้น ซึ่งนาย ส. มีชื่อเป็นกรรมการอีก 4 บริษัท ล้วนเกี่ยวกับ บริษัทแสนสิริทั้งสิ้น ให้ไปขุดดูเลย ร่องรอยเห็นหมดโดยเฉพาะร่องรอยทางบัญชี เห็นหมดโกหกกันไม่ได้ 

ช่วงท้ายนายชูวิทย์ บอกว่า ยังไม่จบแค่นี้ EP.หน้า ตนจะแฉต่อซึ่งเป็นที่ดินที่ตั้งที่ สุขุมวิท 12 (ศิวแลนด์) 

ขณะเดียวกันหลังจากที่ยื่นฟ้องที่ศาลอาญานายชูวิทย์ ยังเดินทางมาที่สภาทนายความเพื่อยื่นสอบมรรยาททนายความของนายวิญญัติอีกด้วย