บีบหัวใจ! หมออินเทิร์นดับ คุณแม่ติดใจการรักษาลูกสาว

“มันผิดพลาดตรงไหนนะ รพ. กทม. ไม่มีเตียงให้บุคลากรนอนเลยหรอ” หมอโพสต์เรื่องบีบหัวใจ คุณแม่ติดใจการรักษาของโรงพยาบาล จนเสียลูกสาวที่กำลังจะเป็นหมอ

เคสนี้จาก X ของคุณหมอเอิร์ธค่ะ เป็นการแชร์ข้อความคุณแม่ที่โพสต์เพราะติดใจการเสียชีวิตของลูกสาวที่เป็นหมออินเทิร์น  

หมอเอิร์ธโพสต์ว่า “เหตุการณ์น้อง Intern 2 Sepsis จนเสียชีวิตนี่ มันผิดพลาดตรงไหนนะ รพ กทม ไม่มีเตียงให้บุคลากรนอนเลยหรอ” 

เหตุการณ์นี้เป็นโพสต์ของคุณแม่ท่านหนึ่งค่ะ ออกมาโพสต์เล่าอาการป่วยของลูกสาวหลังเข้ารับการรักษาที่ รพ.แห่งหนึ่งใน กทม. ลูกสาวของคุณแม่ เริ่มป่วยจาก อาการไอมีเสมหะมีเลือดปน ถ่ายอุจจาระมีเลือดสดปน 

ซึ่งก่อนจะเข้าถึงเรื่องอาการลูกสาวคุณแม่ได้เล่าถึงลูกสาววันนี้ลูกย้ายไปยู่บนฟ้า ครบ 1 เดือนแล้ว คิดถึงลูกมากนะ …มีแต่คนบอกว่าหนูเป็นนางฟ้ามาอยู่บนโลกได้แค่นี้ถึงเวลาต้องกลับไปแล้ว… พ่ออยากให้ลูกเรียนเป็นทนายเรียน กม. แม่ก็ตามใจลูกลูกก็อยากเรียนแพทย์ ….แม่บอกลูกว่าให้ตัดสินใจเอง …ตอนเด็กก็ถูกเลี้ยงดูในรพ.เห็นสภาพตึกคนไข้ที่แออัด…ตอนเด็กแม่เข้าเวรก็ต้องพกลูกไปเลี้ยงด้วยบางครั้ง 

ลูกเลือกเรียนแพทย์วันที่เลือกไปเรียนที่เจิ้งโจว เป็นวันที่คุณพ่อได้จากโลกนี้ไปไม่มีวันกลับ …แม่สัญญาว่าจะส่งลูกเรียนให้สำเร็จตาที่ลูกเลือก…ในที่สุดวุ้นก็เลือกเรียนแพทย์ที่เจิ้งโจว หลักสูตรแพทย์แผนปัจจุบัน …เรียนตอด 6 ปี เรียนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด เพราะเป็นหลักสูตรเดียวกับที่สอนแพทย์ที่ USA และใช้ภาษาจีนในการสื่อสารในชีวิตประจำวัน หลังจากเรียนจบก็ได้มาเป็นแพทย์ฝึกหัดที่รพ.ตำรวจ 1 ปี

…ลูกสาว แข็งแรงไม่เคยเจ็บป่วยร้ายแรง เป็นหวัด เป็นไข้ ฟื้นตัวเร็วมาก ตรวจร่างกายทุกครั้งผลปกติมาตลอด แม่กับลูกโทรคุยกัน ไลน์คุยกันทุกวัน บางวันก็นเหมือน คุย เวลาหลังอาหาร นี่แหละความสุขของแม่ที่ลูกทำงานไกลบ้าน

โดยโพสต์ของคุณแม่เป็นการเล่าอาการของลูกสาว เริ่มจาก เมื่อวันที่( 28 ส.ค. 66 )ช่วงเช้า ลูกสาวไปทำงานที่สภากาชาด มีอาการไอมีเสมหะมีเลือดปน ถ่ายอุจจาระมีเลือดสดปน จึงขอตรวจ CBC เองที่สภากาชาด ผลพบเม็ดเลือดขาว (WBC) สูงกว่าปกติ (ลูกเล่าว่าสูงประมาณ 17000 ) และมีนิวโทรฟิลขึ้นมากกว่าปกติ (บ่งชี้ว่ามีการติดเชื้อแบคที่เรียในร่างกาย)

ช่วงเย็น จึงมารับบริการตรวจที่รพ.แห่งหนึ่ง ที่ห้องฉุกเฉิน ด้วยอาการไอมีเสมหะมีเลือดสดปน และถ่ายเป็นเลือดสด ใบหน้าซีด ปากซีด พยาบาลวัดความดันให้ผลปกติ ไม่มีไข้ แพทย์จึงส่ง ถ่ายภาพรังสีทรวงอก (CXR) แพทย์ลงความเห็นว่าปกติ และส่งปรึกษาศัลยกรรม เพื่อตรวจทวารหนักด้วยนิ้วมือ แพทย์แจ้งว่าผลปกติ จึงให้ยามารับประทานเป็นยา พาราเซตามอล และ ยาริดสีดวงทวาร และให้กลับบ้าน และออกใบรับรองแพทย์ว่า ไอปนเลือด โดยที่แพทย์ไม่สนใจผล CBC ที่ได้รับการตรวจจากสภากาชาดเลย (ลุกวุ้นเล่าให้แม่ฟังว่าได้แจ้งให้แพทย์แพทย์ทราบแล้วว่าลักษณะผลการตรวจ CBC บ่งบอกว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียในร่างกาย ) 

และเมื่อวันที่ 29 ส.ค. 66 ในช่วงเช้ามีอาการอ่อนเพลียมากขึ้นแต่ยังฝืนร่างกายไปทำงานที่สภากาชาด ขณะปฏิบัติงาน มีอาการหน้ามืด เป็นลม ใจสั่น ปากซีด เหงื่ออกมากตามตัว จึงได้รับการพักที่ห้องพักผู้ที่มารับบริการบริจาคโลหิต จนถึงเวลา 16.00 น. 

 จึงไปพบแพทย์ที่รพ.ที่ห้องฉุกเฉินอีกครั้ง วัดความดันปกติ แต่มีชีพจรเต้นเร็วประมาณ 130-140 ครั้ง ต่อนาที ไม่มีเจ็บแน่นอก แพทย์ห้องฉุกเฉิน ได้ตรวจฟังปอดและหัวใจก็บอกว่าปกติ จึงให้ย้ายขึ้นไปตรวจกับแพทย์อายุรกรรม แผนกผู้ป่วยนอก และได้รับการตรวจเลือดเพิ่มเติม ได้รับการวินิจฉัยเป็นภาวะการอักเสบของทั้งร่างกาย  สั่งให้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ Cef 3 iv เป็นเวลา 3 วัน โดยไม่ได้ให้นอนโรงพยาบาล ให้กลับไปนอนพักที่บ้าน และกลับมารับยาฉีด เป็นครั้งไป และไม่ได้ตรวจเพาะเชื้อ  ตามแนวทางในการดูแลรักษาผู้ป่วย

ต่อมาวันที่ 30 ส.ค. 66 ลูกสาวได้มา มารับบริการฉีดยาตามนัดที่รพ.ขณะฉีดยาไม่มีอาการข้างเคียงใดๆ หลังจากฉีดยาเสร็จ มีอาการอ่อนเพลีย และเดินกลับไปพักที่บ้านต้องนั่งรถไฟฟ้าจากรพ.ถึงสถานีแบริ่ง ขณะเดินไปขึ้นรถไฟฟ้า ต้องหยุดพักทุกเพื่อให้หายเหนื่อย  

 
วันที่ 31 ส.ค. 66 มารับบริการฉีดยาตามนัดที่รพ.ขณะฉีดยา ไม่มีอาการข้างเคียงใดๆมีอาการเหนื่อยง่ายและอ่อนเพลียเล็กน้อย มีใจสั่นเล็กน้อย หลังฉีดยาเสร็จ ก็ให้ตรวจกับแพทย์อายุรกรรมเพื่อประเมินผลการรักษา ได้รับการตรวจ CBC พบว่า WBC ยัง > 14000 และ นิวโทรฟิลยังบ่งชี้ว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียอยู่มาก แต่ทางแพทย์ก็ปรับให้เป็นยารับประทานและให้กลับบ้านและนัดมาติดตามการรักษาในวันที่ 7 กันยายน 2566 พร้อมตรวจ CBC .. (.ซึ่งตาม CPG sepsis ระบุว่า ถ้า WBC ยังไม่น้อยกว่า 12000 ต้องให้ยาทาง IV ต่อ 7 -10 วัน หรือจนกว่า WBC < 12000 จึงปรับเป็นยารับประทาน ) หลังจากนั้น ลูกสาวจึงกลับมานอนพักที่บ้านก็มีอาการอ่อนเพลียมากและนอนพักที่บ้านไม่ได้ไปทำงาน 
 
และในวัน 1 ก.ย. 66 ลูกสาวมีอาการอ่อนเพลียมากขึ้น หน้ามืดเวลาเคลื่อนไหว เหนื่อยง่ายตาลาย รับประทานอาหารได้น้อย 

วันที่ 2ก.ย.66  คุณแม่ได้เดินทางพาลูกสาวกลับไปที่บ้าน ตจว.เพื่อเปลี่ยน รพ รักษา ทางรพ.ได้ให้การรักษาโดยนอนพักรักษาในรพ.และทบทวนการรักษาตาม CPG Sepsis เจาะเลือดเพาะเชื้อ เจาะ CBC เพื่อดูภาวะการติดเชื้อ CXR ซ้ำ 

วันที่ 3 ก.ย.66 เกิดภาวะ sever sepsis ย้ายเข้า ICU พบว่าเลือดเป็นกรดมาก และมีการติดเชื้อกระจายไปมาก จึงใส่ท่อช่วยหายใจและวางแผนส่งต่อ ICU รพ.ประจำจังหวัด ขณะเคลื่อนย้าย มีภาวะหัวใจหยุดเต้น จึงย้ายเข้าห้องฉุกเฉินทำการปั๊มหัวใจเป็นเวลา 2 ชม. และได้เสียชีวิต เมื่อ เวลา 20.57 น. 

และคุณแม่พูดถึงเรื่องราวนี้ว่า “เหตุการณ์ในครั้งนี้แม่ ทำงานทางด้านการพยาบาลประสบการณ์มากกว่า 30ปี ได้วิเคราะห์ CPG Sepsis พบว่า ทางรพ.ได้บกพร่องในการตรวจวินิจฉัยตั้งแต่ครั้งแรก โดยไม่ตรวจเพาะเชื้อก่อนเริ่มให้ยาปฏิชีวนะ ส่งผลให้ไม่ทราบว่าเชื้อจำเพาะและตอบสนองต่อการักษาด้วยยา Cef3 หรือไม่ ไม่ทำการ admit ผู้ป่วย ซึ่งวินิจฉัย sepsis มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวการติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างรุนแรง อาจทำให้เกิดผู้ป่วยเสียชีวิตขณะพักที่บ้านได้ และเมื่อฉีดยาครบแล้วเมื่อตรวจ CBC ผลเลือดยังไม่เข้าเกณฑ์ เม็ดเลือดขาว ( WBC ) ยังสูงมาก > 14000 และนิวโทรฟิลสูง ซึงบ่งชี้ว่าการักษายังตอบสนองได้ไม่ดี แต่แพทย์ผู้รักษาได้เปลี่ยนเป็นยารับประทานและให้กลับบ้าน ซึงตามแนวทางการรักษา CPG Sepsis จะต้องให้ยาฉีดต่อเนื่อง 7-10 วัน หรือจะต้องเปลี่ยนยาฉีดหลังจากทราบผลเพาะเชื้อ ส่งผลให้การติดเชื้อในกระแสเลือดลุกลามไปยังระบบการทำงานของร่างกายทำงานบกพร่อง ผลของของการตรวจวินิจฉัยไม่ครอบคลุม และการสั่งการรักษาที่ผิดพลาดไม่เป็นไปตามแนวทาง CPG Sepsis ทำให้ผู้ป่วยมีการติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างรุนแรงและเสียชีวิตในที่สุด ถึงแม้ว่าจะมารักษาต่อที่รพ.บ้านเรา ได้ให้การดูแลอย่างเต็มความสามารถ ด้วยทีมคุณภาพการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดแล้วก็ตาม 
 
แม่ได้สูญเสียกำลังสำคัญของครอบครัวคิดเป็นมูลค่าความเสียหาย ที่มากมาย และบิดาก็เสียชีวิตตั้งแต่ เรียนจบม.6 แม่ ต้องรับภาระพียงผู้เดียวที่ต้องส่งบุตรเรียนแพทย์ที่มหาวิทยาลัยเจ้งโจวประเทศจีน เป็นมูลค่าประมาณ 6 ล้านบาท พี่วุ้นมีความตั้งใจจะแบ่งเบาภาระคุณแม่ด้วยการส่งค่าเล่าเรียนน้องว่านแทนคุณแม่ ที่กำลังเรียนชั้นม. 4 และส่งเงินมาช่วยเหลือทางบ้านทุกเดือนเป็นเงิน 3 หมื่นบาทต่อเดือน จากนี้แม่เล้งกับน้องว่านก็ต้องดูแลกันเองต่อไป ความฝันความหวังของเราที่วางไว้เราต้องเข้มแข็งต่อไปเมื่อพี่วุ้นต้องไปอยู่บนฟ้าแล้ว… พี่ไม่ต้องห่วงแม่นะคะแม่จะเข้มแข็งเพื่อน้องต่อไป …ขอบคุณลูก เป็นเด็กดีมาตลอดและมีความตั้งใจที่จะรับผิดชอบครอบครัวแทนพ่อ….ตอนนี้พ่อวินกับลูกวุ้นก็ได้อยู่บนฟ้าด้วยกันแล้ว…แม่ก็หมดห่วงว่าพ่อมารับลูกไปดูแลแล้วนะ”

อ่านแล้วรู้สึกเสียดาย อนาคตบุคลากร ทางการแพทย์เหลือเกินค่ะ 

อีจันขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวด้วยนะคะ