อีจันพักร้อน เยือนขอนแก่น ถิ่นอีสาน ใช้ชีวิตโครตคุ้ม

อีจันพักร้อน เราบินลัดฟ้า สู่เมืองขอนแก่น ใช้ชีวิตเรียนรู้วิถีชุมชน 3 วัน มีแต่คำว่าคุ้ม ตลอดทริป!

ฮัลโหลๆ จ้า ช่วงนี้ใครหลายคนยังคิดกันอยู่ใช่ไหมคะ ว่าจะไปเที่ยวไหนกันดี ทริปนี้ อีจัน จะพาบินลัดฟ้า ไปหาอะไรม่วนๆ ทำ หาของ แซ่บๆ กิน ที่เมืองใหญ่ภาคอีสาน เพราะที่นี่คือ ขอนแก่นนนนนน…  

จากกรุงเทพฯ เดินทางไปขอนแก่น เราเลืกบินลัดฟ้า ขึ้นเครื่องกันไปแบบปังๆ ใช้เวลาไม่นานเลยจ้า ประมาณ 1 ชั่วโมง ก็ถึง จ.ขอนแก่น เมื่อไปถึง ไม่รอช้า เราก็เริ่มเดินทางไปที่ อ.ภูผาม่าน

บลู ลากูน สระมรกต บนแหล่งระเบิดขนาดยักษ์  

ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง เราก็มาถึงที่แรก พวกเราเห็นแล้วต้องอึ้ง ทึ่ง เสียวสุดๆ เพราะที่นี่คือ Blue lagoon สถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องร้องว้าวตั้งแต่ทางเข้า ไปจนถึงจุดที่ถ่ายรูป ท้องฟ้าสีคราม มีเมฆสีขาวลอยเป็นก้อน กระทบกับสีสีฟ้า พอลงรถเดินไปจุดถ่ายรูป ต้องตะโกนออกมาว่าสวยมาก อยากให้ทุกคนได้ไปสัมผัสด้วยตัวเองจริงๆ ค่ะ แต่ที่นี่เขามีเวลาเข้านะ ตามป้ายคือแนะนำช่วงเวลาที่ 16.30 – 17.30 น. เพราะที่นี่ยังมีการทำเหมืองหิน อาจมีเสียงตู้มต้ามกันบ้าง ถือว่าได้ดูความงาม ผ่านความระทึกแล้วกันค่ะ

เที่ยวที่ภูผาม่านเรายังไม่จบเพียงเท่านี้ หลังจากพักกินข้าวกัน จนอิ่มท้องแล้ว เราไปลุยต่อกันเลย 

ลุยขับ ATV บินพารามอเตอร์ ชมฟ้า ที่ภูผาม่านวิว  

ที่ภูผาม่านวิว ที่นี่เขาจะมีบริการรถ ATV ให้เราได้ขับชม ป่า เขา ลําเนาไพร เพื่อดูความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ ในอุทยานแห่งชาติภูผาม่าน พร้อมกับทำภารกิจสุดโหด มันส์ ฮา เพราะระหว่างทางที่เราขับผ่าน จะมีแอ่งน้ำที่เกิดจากน้ำฝนขังเป็นแอ่งขนาดเล็ก เราต้องขับผ่านจุดนี้ไปให้ได้ เสียงกรี๊ดกร๊าดลั่นป่าเลยทีเดียว ซึ่งตลอดการขับไปนั้น เขาก็มีการรักษาความปลอดภัย โดยมีพี่หนึ่ง ชายหนุ่มอารมณ์ดี มีมุขมาเล่นกับเราตลอด  อีกทั้งยังเป็นเจ้าของภูผาม่านวิว และครูผู้ดูแลตลอดเส้นทาง เซฟตี้ดีขนาดนี้ อีจันก็ลุยเต็มเหนี่ยวสุดๆ เลยจ้า  

หลังจากจบภารกิจลุยจาก ATV กันแล้ว เราก็มาต่อแถวรอบินพารามอเตอร์กันต่อ จะบอกว่าก่อนขึ้นบิน ใจของจันก็ตุ้มๆ ต่อมๆ อยู่ค่ะ แต่เพื่อให้ลูกเพจได้เห็นภาพสวยๆ เราต้องสู้! พี่หนึ่งพร้อมครูก็มาที่ลานบิน เพื่อพาพวกเราเหินสู่เวหากัน  

ตอนอยู่ข้างล่างตื่นเต้นแล้วใช่ไหมคะ แต่พอช่วงขึ้นบินมันตื่นเต้นยิ่งกว่า แต่ความตื่นเต้นนั้น ก็หลายไปอย่างปลิดปิว เพราะสายตาของจันที่มองไปเห็นคือภาพภูเขาหินตั้งตระหง่าน พร้อมกับแสงอาทิตย์รำไร ส่องกระทบไปที่ผาหิน สวยมากๆ ค่ะ สวยเกินคำบรรยาย อีจันเลยได้เก็บภาพบรรยากาศจากด้านบน มาฝากลูกเพจทุกคนได้ชมกัน ถ้ามีโอกาส ที่นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ ที่จันจะกลับไปเยือนอีกครั้ง

ผ่านไป 1 วัน ไวเหมือนกันนะคะ เพราะในวันนั้น เราได้เจอทั้งความสวยงาม กิจกรรมสุดลุย พร้อมทั้งมิตรภาพใหม่ระหว่างการเดินทาง แต่เรายังไม่หยุดเพียงเท่านี้ เพราะยังมีที่ต้องไปอันซีนต่อ บอกเลยว่าสถานที่ ที่เราจะไป คือใช้คำว่า “ไทบ้าน” ได้เต็มปากจริงๆ แต่ค่ำคืนนี้อีจันขอนอนเก็บแรงกันก่อน ไว้ไปหาเก็บประสบการณ์ต่อจ้า  

ตื่นมาตอนเช้าๆ รับบรรยากาศดีๆ ชมภูเขาพร้อมกับท้องทุ่งนาเขียวชอุ่ม ก็พร้อมแล้วที่จะออกเดินทางกันต่อ สถานที่ที่เราจะไป หวานมาก เพราะที่นี่คือ อ.สีชมพู อำเภอที่ใครได้ยินต้องอุทานถามกลับว่า ห๊ะ! มีอำเภอชื่อนี้ในประเทศไทย จริงๆ เหรอ…  

เส้นทางไม่ไกลมาก พวกเราขับรถจาก อ.ภูผาม่าน ไปที่ อ.สีชมพู ใช้เวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง ก็ถึงแล้ว ที่นี่เหมือนมนต์สะกด ขับรถเข้าไปที่นี่มีป่าไม้ ภูเขา ล้อมรอบ 360 องศา มองไปทางไหนก็สบายตามากๆ แต่จุดมุ่งหมายของเราครั้งนี้คือ ไปเรียนรู้ วิถีชีวิตชาวบ้าน แบบแท้ๆ จึงติดต่อไปที่ พี่นุ เจ้าบ้าน ที่มีความสุขุม นุ่มลึก และเป็นเจ้าของเพจดังแนะนำความสวยงามของ อ.สีชมพู ชื่อ “วิถีสีชมพู” ที่จะคอยดูแลเราตลอดทริปนี้

เริ่มภารกิจ พิชิตความเป็นไทบ้าน   

เมื่อไปถึงที่บ้านพี่นุ ซึ่งตั้งอยู่ใน อ.สีชมพู ก็พบกับป้ายที่เขียนใส่ไม้ ตั้งไว้หน้าบ้าน ว่า “มหา’ลัย ไทบ้าน” ไม่รอช้าค่ะ มาถึงแล้วเราก็รีบเข้าไปหาพี่นุกัน แต่ที่นี่ เห็นคำว่าไทบ้าน แต่เขามีการต้อนรับแขกระดับเวิลด์คลาสเลยนะคะ เพราะเขามี Welcome Drink ที่เป็นเครื่องดื่มต้อนรับแขกที่มาด้วย ซึ่งน้ำผลไม้ที่พี่นุและเพื่อนๆ ใช้มาต้อนรับคือ น้ำเสาวรส ที่มีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน ละมุนลิ้นมากค่ะ

ภารกิจแรก ขุดหน่อไม้แบบสับๆ   

เมื่อพูดคุยถามไถ่กันเสร็จแล้ว ไม่รอช้า พี่นุนำรถซาเล้ง ขับนำหน้าพวกเราพาเข้าป่า ไปที่ทุ่งนา ซึ่งเป็นบ้านที่เพื่อนๆ กลุ่มพี่นุอาศัยอยู่ เมื่อไปถึง ภารกิจของเราก็เริ่มต้นขึ้น โดยการเข้าไปสับหน่อไม้ ที่ปลูกไว้ในสวน ซึ่งกว่าจะได้มาแต่ละหน่อนี่ก็เอาเรื่องอยู่นะคะ เพราะหนึ่งในสมาชิกทีมเรา ต้องแลกเลือดให้กับหน่อไม้มาหนึ่งหน่อเลยทีเดียว เพราะความคมของกาบหน่อไม้ แต่สุดท้ายก็ทำแผล และภารกิจแรกของเราก็ผ่านไปได้

ภารกิจที่สอง หว่านแห งมกุ้ง แซ่บซี๊ดสะดุ้งกับหมากค้อ   

เริ่มภารต่อไป หยิบถัง จับแห มุ่งหน้าสู่สระน้ำกลางทุ่งนา ที่เป็นบ่อเลี้ยงกุ้ง เราต้องหากุ้งในบ่อนี้ ไปทำอาหารมื้อเที่ยงของพวกเรา แต่ระหว่างการรอลงไปงมกุ้ง เราก้ไปเจอกับผลไม้ท้องถิ่นอีสาน ที่หลายคนเห็นแล้ว ต้องน้ำลายสอไปตามๆ เพราะเราไปเจอกับต้นหมากค้อ หรือ ตะค้อ ผลไม้ที่มีรสเปรี๊ยวจี๊ด แต่เมื่อกินกับน้ำพริกที่พี่ๆ เตรียมไว้ให้แล้ว ต้องบอกว่า แซ่บอิหลีเด้อ   

เมื่อได้กินหมากค้อ เด็ดสดๆ รสชาติเปรี้ยว จนตาตื่นกันเสร็จแล้ว ก็มาเริ่มหว่านแหหากุ้งกันต่อ ครั้งนี้เราส่งทีมลงไปหว่านแหด้วยนะ ซึ่งมีชาวบ้านในพื้นที่ เข้ามาช่วยแนะนำวิธี ถามว่าผ่านไปได้ด้วยดีไหม ก็ได้อยู่ หลังจากได้เรียนรู้การหว่านแหไปแล้ว เราก็เริ่มงมกุ้งใต้แหกันต่อ งานนี้ไม่แห้วนะคะ เพราะเราได้กุ้งกันเยอะเลย เที่ยงนี้มีอาหารกันแล้ว  

เรากลับมา เริ่มทำอาหารเที่ยงกันดีกว่า นอกจากหน่อไม้ต้ม จากที่เราไปสับกันในภารกิจแรกกันแล้ว ก็ยังมีกุ้งจากภารกิจที่สองกันด้วย แต่ที่ขาดไม่ได้ และเป็นอาหารท้องถิ่นเมื่อนึกถึงความเป็นอีสาน คือ ตำบักหุ่ง หรือ ส้มตำ ที่หลายๆ คนรู้จักกันเป็นอย่างดี พี่ๆ ปล่อยให้เราลงมือกันเอง ตั้งแต่เริ่มสับมะละกอ เตรียมเครื่อง และลงมือตำ ผลลัพธ์ที่ได้คือ แซ่บ นัวร์มาก ในมื้ออาหารเที่ยง ที่แสนจะอบอุ่น นั่งกินข้าวใต้ร่มไผ่ กับสายฝนปรอยๆ พูดคุยกัน เป็นชีวิตที่ดีมากๆ ค่ะ เราได้สัมผัสความเป็นอยู่   

ภารกิจที่สาม พายซับบอร์ด ล่องบึง ชมเขา  

หนังท้องตึงกันแล้ว เรามาลุยกันต่อ กับกิจกรรมที่ไม่หนักมาก พายซับบอร์ด กลางบึงขนาดใหญ่ ใจกลาง อ.สีชมพู เราได้เห็นวิถีชีวิตชาวบ้าน ลูกเด็กเล็กแดง หอบห่วงยางมาเล่นน้ำ พร้อมกับชาวบ้าน มาหาปลากันในบึง ซึ่งขณะที่เรากำลังพายซับบอร์ดกันอยู่นั้น เราก็เห็นฝนกำลังตกมา สลับกับภาพภูเขา ที่มีเงาภูเขา กระทบกับบึงน้ำ สวยมาก ก.ไก่ล้านตัวเลยค่ะ แต่เราก็อยู่ที่นี่ได้ไม่นาน เราก็ต้องรีบขึ้นจากน้ำ เพราะฟ้าฝนเริ่มดุดัน ตกลงมาแรงขึ้น จึงต้องรีบหลบฝน ไม่อย่างนั้นจะเปลี่ยนจากนักท่องเที่ยว เป็นผู้ประสบภัยเสียก่อน  

เรากลับมาตั้งหลักกันที่บ้านพี่นุ กันก่อน ซึ่งพี่นุก็เสนอขึ้นมาว่า เราไปนั่งรถหรูสุดคลาสสิค ชมวิวกันดีไหม แน่นอนจ้า เราไม่ปฏิเสธ พี่นุก็พาขับรถเลาะไปทางทุ่งนา ผ่านหมู่บ้าน ผ่านภูเขาหลายต่อหลายลูก หฟ้าเปิดหลังฝนตก กลิ่นอายที่เราหาสัมผัสได้ยากในเมืองกรุง ก็ถูกพวกเราสูดเข้าไปเต็มปอด ซึ่งบอกได้คำหนึ่งเลยว่า สดชื่น!  

ภารกิจสุดท้าย นั่งอีแต๊ก แลภู ดูพระอาทิตย์ตก  

เมื่อเราถึงจุดรอรถ ก็มีรถหรูสุดคลาสสิค ที่ชาวบ้านเรียกว่า “รถอีแต๊ก”  มารอรับเรา ไปชมความงามของธรรมชาติ ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในอำเภอสีชมพู พี่นุบอกว่า นี่ก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่จะพานั่งท่องเที่ยวมาทำ นอกจากจะได้ทำกิจกรรมมาตลอดทั้งวันแล้ว การปิดท้ายด้วยการนั่งรถอีแต๊ก ชมภูเขา เร้าอารมณ์ด้วยแสงอาทิตย์ยามเย็ม ที่กำลังลับหายไปในภูเขา ได้อารมณ์สุนทรีย์ ฟังเสียงนกร้องตอนบินกลับรัง พร้อมกับฟังความเป็นมาของสีชมพู ชื่อนี้มีที่มาอย่างไร ซึ่งเราได้เล่าไว้แล้วในคลิป “ขอนแก่น โหดมันส์ฮา” สามารไปติดตามกันได้นะคะ 

สุดท้าย จันอยากจะบอกว่า ทริปขอนแก่น ที่พวกเราได้ไปครั้งนี้ เป็นอะไรที่คุ้มค่ามาก ได้ทั้งเรียนรู้ สู้ชีวิต ลุย กันอย่างเต็มที่ และอีกหนึ่งสิ่งที่อยากจะบอก คือคนขอนแก่นเขาน่ารักมากๆ มีความเป็นกันเองสุดๆ ได้ไปสัมผัสวิถีความเป็นอยู่แล้ว ก็ทำให้จันอยากแวะไปอีกสักครั้ง “ขอนแก่น ม่วนอีหลี” ค่ะ