
แน่นอนว่าการปรับอัตราภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ที่ประกาศไปเมื่อไม่กี่วันมานี้ ได้สร้างแรงสะเทือนต่อประเทศที่ได้รับ ไม่ว่าจะเป็น “ไทย” ที่กำลังพิจารณาต่อรองอีกครั้ง หรือเพื่อนบ้านอาเซียน อย่าง “เมียนมา” ที่ล่าสุดได้มีการประสานขอเจรจาลดอัตราภาษีจากเดิมถึง 40% แล้ว

(11 ก.ค. 68) สื่อต่างประเทศ รายงานว่า พลเอกอาวุโส มิน ออง หล่าย ผู้นำกองทัพเมียนมา ได้ร้องขอให้ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากเมียนมาร์ไปยังสหรัฐฯ ลงจากเดิมที่สูงถึง 40% และพร้อมที่จะส่งคณะเจรจาไปยังวอชิงตัน โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ผู้นำเมียนมา ได้ตอบกลับจดหมายของทรัมป์ ที่แจ้งเมียนมาถึงภาษีศุลกากร ซึ่งเอกสารตอบกลับระบุว่า เมียนมา ได้ยื่นเสนอให้สหรัฐฯ ลดอัตราภาษีนำเข้าลงเหลือ 10% ถึง 20% และเมียนมา พร้อมจะลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ลงเหลือ 0 ถึง 10%

นอกจากนี้ มิน ออง หล่าย แสดงความยอมรับถึงความเป็นผู้นำที่เข้มแข็งของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ในการนำพาสหรัฐอเมริกา ไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองของชาติ ด้วยจิตวิญญาณของผู้รักชาติที่แท้จริง

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 7 ก.ค. 68 โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โพสต์แถลงการณ์จดหมายผ่าน Truth Social ถึงผู้นำกว่า 14 ประเทศ ซึ่งระบุในเอกสารยืนยันการเรียกเก็บภาษีนำเข้ากับประเทศนั้น ๆ โดยประเทศเมียนมา ถูกปรับจากอัตราภาษีเดิม (2 เม.ย.) 44% เหลือ 40% ขณะที่ประเทศไทย ถูกยืนกรานอัตราภาษีเดิมที่ 36% และมาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ 1 สิงหาคม 2568 ที่จะถึงนี้
ช่วงนี้แทบทุกประเทศคงพูดเพียงสั้น ๆ ว่า “อะไรก็ยอมเธอ”
ขอบคุณข้อมูล : The Guardian