ฮุน มาเนต ขู่ “ไทย” อย่าล้ำเส้น ปิด 4 พื้นที่พิพาท

“ฮุน มาเนต” เตือนไทย อย่าล้ำเส้น ห้ามคนกัมพูชา เข้า 4 พื้นที่พิพาท ชี้ เรื่องยังอยู่บนศาลโลก ไม่มีสิทธิปิดกั้นพื้นที่

เอาแล้วไง! “ผู้นำเขมร” เตือนไทย อย่าคิดห้ามคนกัมพูชาเข้า 4 พื้นที่พิพาทที่อยู่ระหว่างยื่นฟ้องสู่ศาลโลก

วันนี้ (2 ก.ค. 68) สื่อต่างประเทศ รายงานว่า ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีแห่งกัมพูชา ประกาศคำเตือนถึงประเทศไทย ระบุว่า การเคลื่อนไหวฝ่ายเดียวใด ๆ ของฝ่ายไทยในการขัดขวางไม่ให้พลเมืองกัมพูชาเข้าไปในพื้นที่พิพาทบริเวณปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และพื้นที่ช่องบก จะก่อให้เกิดผลร้ายแรงตามมา

ฮุน มาเนต กล่าวระหว่างพิธีวันปลาแห่งชาติ จังหวัดตาแก้วว่า ข้อพิพาทเกี่ยวกับเรื่องอาณาเขตเหล่านี้ยังไม่ได้รับการแก้ไขและยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ดังนั้น ทั้งสองประเทศจึงไม่มีสิทธิตัดสินใจฝ่ายเดียวเกี่ยวกับการเข้าถึงพื้นที่ดังกล่าว

“ผมขอชี้แจงให้ชัดเจนว่า (อำนาจอธิปไตยเหนือ) พื้นที่ตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด ตาควาย และพื้นที่ช่องบกยังไม่เป็นที่สิ้นสุด ข้อพิพาทนี้กำลังได้รับการแก้ไขโดยระบบกฎหมายระหว่างประเทศ”

“ไม่มีใครสามารถทำหน้าที่เป็นผู้มีอำนาจฝ่ายเดียวเพื่อปิดกั้นการเข้าประเทศได้” ฮุน มาเนต กล่าว

ทั้งนี้ ฮุน มาเนต ย้ำว่าสถานการณ์จะต้องกลับไปสู่สภาพเหมือนก่อนวันที่ 7 มิถุนายน โดยอ้างอิงถึงสถานะเดิมก่อนที่ความตึงเครียดจะทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้

“หากใครกล้าปิดประตูและขัดขวางไม่ให้ชาวกัมพูชาเข้าถึงพื้นที่เหล่านั้น นั่นถือเป็นการละเมิดอย่างชัดเจน นั่นคือการข้ามเส้นแดง คุณกำลังสร้างสถานการณ์”

“หากประเทศไทยอ้างสิทธิ์ในพื้นที่เหล่านั้นเป็นของตนโดยการกระทำฝ่ายเดียว นั่นเท่ากับว่าเรายอมรับแผนที่ขนาด 1:50,000 ของพวกเขาแล้ว ซึ่งเราไม่ได้ยอมรับ” ฮุน มาเนต เตือน

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ย้ำถึงความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหานี้โดยสันติวิธี และผ่านการเจรจาทางกฎหมาย อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ยืนยันชัดเจนว่ากัมพูชาจะไม่ยอมทนต่อการรุกรานฝ่ายเดียวจากเพื่อนบ้าน (ไทย)

“กองทัพกัมพูชามีการเตรียมพร้อมอย่างดีในทุกๆ ด้านเพื่อปกป้องดินแดนของเรา โดยไม่ยอมให้สูญเสียดินแดนแม้แต่มิลลิเมตรเดียว” ฮุน มาเนต กล่าว

“มันเป็นข้อพิพาทที่ยืดเยื้อมานาน และเราต้องการที่จะยุติมันอย่างเด็ดขาด แต่เราไม่อยากจะแก้ไขด้วยสงคราม… นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราจึงเลือกทางเลือกของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ”

ขอบคุณข้อมูล : Khmer Times