ผกก.สน.พหลโยธิน แถลง คืบหน้าคดี กราดยิง รพ.สนาม

ผกก.สน.พหลโยธิน แถลง ผู้ต้องหากราดยิง รพ.สนาม อ้าง ก่อเหตุเพราะ ถูกกดดันเรื่อง ยาเสพติด ช่วงเป็นทหาร รอพิจารณา ต้องเรียกบุคคลดังกล่าวมาให้ปากคำหรือไม่

หลังจากเมื่อเช้าที่ผ่านมา (25 มิ.ย.64) เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พหลโยธิน ได้คุมตัว นายกวิน แสงนิลกุล วัย 23 ปี ทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ยิง นายรัฐวิทย์ สันติคุปตพง อายุ 32 ปี พนักงานร้านสะดวกซื้อ สาขาปากซอยลาดพร้าว 25 ก่อนไปก่อเหตุกราดยิง ผู้ป่วยโควิด 19 เสียชีวิต ในโรงพยาบาลสนามธัญญารักษ์

ตำรวจ คุมตัว กวิน ทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ยิง พนง. 7-11 ก่อนไป กราดยิง รพ.สนาม

หลังจากทำแผน ที่ร้านสะดวกซื้อสาขาดังกล่าวเสร็จสิ้น ตำรวจ จึงนำตัวนายกวินกลับขึ้นรถตู้ สน.พหลโยธิน และในช่วงบ่าย ตำรวจ สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ จะนำตัวนายกวิน ไปชี้จุดที่สถานบำบัด และฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด ซึ่งเป็นโรงพยาบาลสนาม รักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่ผู้ต้องหาไปก่อเหตุกราดยิงต่อไป

ด้าน พ.ต.อ.ประสพโชค เอี่ยมพินิจ ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลพหลโยธิน เปิดเผยถึงคดีดังกล่าวว่า ในการรวบรวมพยานหลักฐานครั้งแรก จะเป็นในเรื่องของการฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และพกพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควร

แต่เมื่อมีการรวบรวมพยานหลักฐานจนได้ข้อเท็จจริงเพิ่มเติม พนักงานสอบสวนของ สน.พหลโยธิน ได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมในเรื่องฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน

ส่วนอาวุธปืนของกลาง ผู้ต้องหามีปืน 2 กระบอก มีทะเบียนทั้ง 2 กระบอก กระบอกแรก คือ ลูกโม่ ก่อเหตุพื้นที่พหลโยธิน ส่วนในพื้นที่ปทุมธานี จากข้อมูลมีการใช้ปืนทั้ง 2 กระบอก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องอยู่ในกระบวนการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ในเรื่องหัวกระสุน ปลอกกระสุน เพื่อเทียบเคียงเป็นหลักฐานในสำนวนต่อไป

ส่วนปืนที่มีตราโล่ ยังอยู่ในกระบวนการพิสูจน์ทราบทั้งหมด

จากคำให้การของผู้ต้องหาที่ระบุว่า เกี่ยวข้องกับยาเสพติด จะต้องมีการสอบสวนเพิ่มเติมอีกหรือไม่ ?

ในส่วนนี้ ผกก.สน.พหลโยธิน กล่าวว่า กรณีที่ผู้ต้องหาอ้างว่า ถูกผู้บังคับบัญชาระหว่างที่เป็นทหารกดดันเรื่องยาเสพติด หรือการทำร้ายร่างกาย จนทำให้เกิดเหตุการณ์ในครั้งนี้ ผู้ต้องหาได้ให้การกับพนักงานสอบสวนทั้งหมดแล้ว และอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจำเป็นต้องเรียกบุคคลที่ถูกกล่าวอ้างมาให้ปากคำหรือไม่ แต่ผู้ต้องหาสามารถจะให้การแบบใดก็ได้ ส่วนจะนำเข้าสำนวนมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับการพิจารณา

ตอนนี้เรากำลังมองหาว่า เพราะเป็นแบบนี้ทำให้คนมพฤติกรรมแบบนี้ใช่ไหม เรื่องนี้อยากให้รับฟังไว้ก่อน เพราะมันคือคำกล่าวอ้างของผู้ต้องหา

ซึ่งการสอบสวนผู้ต้องหา จะพิจารณาให้มีนักจิตวิทยาเข้ามาสอบสวนด้วย เพื่อให้พยานหลักฐานครอบถ้วนที่สุด

ในวันเกิดเหตุ จากคำให้การของผู้ต้องหาที่มีการดื่มเบียร์กับเพื่อนก่อนก่อเหตุ ทางตำรวจก็ได้เรียกตัวมาสอบปากคำแล้ว ตั้งแต่วันแรก จนสามารถตามเจอเพื่อนคนนี้ที่ยังอยู่ที่ห้องได้ ทำให้ทราบชื่อ ตำหนิรูปพรรณสัญฐานของผู้ต้องหา นำมาซึ่งการติดตามและจับกุมตัวได้ในที่สุด ซึ่งจากคำให้การของเพื่อนทหารรุ่นพี่ เล่าว่า ผู้ต้องหาค่อนข้างสนิทและไว้ใจคอยปรึกษาหารือใน 1 เดือนจะเจอกันสัก 4-5 ครั้ง

ส่วนรุ่นพี่ที่อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย ตอนนี้ยังไม่ได้มีหลักฐานใดๆ ที่แสดงว่าเกี่ยวข้อง เพราะตามที่ปรากฏทั้งประจักษ์พยานที่เห็น กล้องวงจรปิด เป็นการก่อเหตุเฉพาะตัวของผู้ต้องหาคนเดียว

ซึ่งที่ร้ายสะดวกซื้อ ครั้งแรกที่มาซื้อมา 2 คน ครั้งที่ 2 มา 2 คน และเกิดเหตุการณ์ขวดเบียร์ตกแตก และครั้งที่ 3 กลับมาคนเดียว เบื้องต้นยังไม่ปรากฏเรื่องการเสพยา

จากการสอบปากคำคนครอบครัว ให้การว่า ผู้ต้องหามักมีอารมณ์แปรปรวน เคยได้รับการรักษา แต่การกระทำผิด ต้องพิจารณาว่า ในขณะกระทำผิด มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนไหม การอ้างว่ามีโรค มีความเครียดส่งผลต่อสติสัมปชัญญะในตอนที่ก่อเหตุมากน้อยแค่ไหน ส่วนในเรื่องของสาเหตุที่ทำให้ผู้ต้องหามีพฤติกรรมอย่างนี้ ขอให้เป็นเรื่องในสำนวน

ส่วนกรณีสื่อมวลชนมีการติดต่อกับผู้ต้องหาก่อนที่จะมีการควบคุมตัว เป็นการเข้าไปก้าวก่ายในเรื่องของสำนวนคดีหรือการทำงานของตำรวจหรือไม่ ตนขอสงวนความคิดเห็นตรงนี้ แต่เชื่อว่าทุกคนมีเจตนาที่ดี เพียงแต่ผลของการกระทำนั้นมันเกิดผลอย่างไร คงได้เห็นกันในสังคมแล้ว