จบคดีรุมโทรมเกาะแรด! ศาลฎีกาพิพากษาโทษสูงสุดถึงจำคุกตลอดชีวิต

คดีรุมโทรมเกาะแรด ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์! 10 จำเลย โทษสูงสุดจำคุกตลอดชีวิต ต่ำสุด 15 ปี

ศาลฎีกาพิพากษาแล้ว! คดีรุมโทรม ด.ญ. 14 ปี ที่บ้านเกาะแรด จ.พังงา

จากกรณี แม่ของ ด.ญ. วัย 14 ปี เข้าแจ้งความที่ สภ.โคกกลอย อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา ว่า ลูกสาวถูกคนในหมู่บ้านกว่า 30 คน รุมโทรมข่มขืนกระทำชำเรา ตั้งแต่เดือน พฤษภาคม 259 ถึง เดือน กุมภาพันธ์ 2560 เหตุเกิดที่ ต.หล่อยูง อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา จนเป็นข่าวโด่งดังไปเมื่อปี 2560 “คดีรุมโทรมเกาะแรด”

ต่อมา พนักงานอัยการจังหวัดพังงา โจทก์ และโจทก์ร่วม ทนายความมูลนิธิเด็ก เยาวชนและครอบครัว (ทนายความโจทก์ร่วมที่ 1,2) ได้ยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดพังงา โดยมีจำเลยทั้งหมด 11 คน ประกอบด้วย นายวรชิต คงบุตร หรืออีฉา หรือบังฉา ที่ 1 , นายชาติชาย ศรีรัตน์ หรือเล็ก ที่ 2 , นายบุณพจน์ นนทรี หรือหลี ที่ 3 , นายเฉลิม สามิน หรือหวาบำ ที่ 4 , นายสุชีพ สุเมนร์ หรือหวาเดช ที่ 5 , นายธวัชชัย เถากู หรือยูนุส ที่ 6 , นายนัฐวุฒิ บุตร์น้อย หรือกาหรีม ที่ 7 , นายสายันต์ สุเมนร์ หรือสายัน หรือย้อย ที่ 9 , นายรังสันติ์ ชายเลี้ยง หรือฮาลัน ที่ 10 , นายนาวิก จารึก หรือหวาหลี ที่ 11

เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป จำเลยทั้ง 11 ร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรม รวม 50 กรรมต่างกัน เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2561 ศาลชั้นต้น จังหวัดพังงา พิพากษาว่า จำเลยที่ 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 จำคุกตลอดชีวิต จำเลยที่ 8 จำคุก 45 ปี จำเลยที่ 9 และที่ 11 จำคุกคนละ 15 ปี จำเลยที่ 10 จำคุก 20 ปี 4 เดือน ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมที่ 1 และ โจทก์ร่วมที่ 2 เป็นเงิน จำนวน 6,640,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันพิพากษา

จากนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 8 นัดฟังคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2562 ซึ่งระหว่างนั้น นายประกันจำเลยที่ 5 ยื่นคำร้องว่าจำเลยที่ 5 ถึงแก่ความตาย เมื่อวันที่ 18 ก.ย. 2562 ศาลอุทธรณ์ภาค 8 เห็นว่า เมื่อจำเลยที่ 5 ถึงแก่ความตาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(1) จึงให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 5 สำหรับคดีส่วนแพ่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 40 ศาลอุทธรณ์ ภาค 8 ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาข้อเท็จจริงแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 – 4 และที่ 6 – 11 มานั้นชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์ ภาค 8 เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 – 4 และที่ 6 – 11 ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น

และในวันนี้( 19 ก.ค. 64 ) เมื่อเวลา 10.00 น. ศาลจังหวัดพังงา ได้นัดอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา ในคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดพังงา เป็นโจทก์ฟ้อง นายวรชิต คงบุตร หรืออีฉา หรือบังฉา ที่ 1 , นายชาติชาย ศรีรัตน์ หรือเล็ก ที่ 2 , นายบุณพจน์ นนทรี หรือหลี ที่ 3 , นายเฉลิม สามิน หรือหวาบำ ที่ 4 , นายธวัชชัย เถากู หรือยูนุส ที่ 6 , นายนัฐวุฒิ บุตร์น้อย หรือกาหรีม ที่ 7 , นายสายันต์ สุเมนร์ หรือสายัน หรือย้อย ที่ 9 , นายรังสันติ์ ชายเลี้ยง หรือฮาลัน ที่ 10 เป็นจำเลย ฐานร่วมกันกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ข่มขืนกระทำชำเรา ความผิดต่อเสรีภาพ บุกรุก ความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว วินิจฉัยว่า พยานหลักฐานที่โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองนำสืบมีน้ำหนักมั่นคงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 – 4 ที่ 6 – 9 และที่ 11 กระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 – 4 ที่ 6 – 9 และที่ 11 ฟังไม่ขึ้น ซึ่งเมื่อการกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย ตามฟ้องข้อ 48 ขาดอายุความแต่เป็นการกระทำกรรมเดียวกับความผิดฐานบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืนโดยใช้กำลังประทุษร้าย ตามฟ้องข้อ 47 จึงให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดนี้ พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรกและวรรคสี่ (เดิม) และให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืนโดยใช้กำลังประทุษร้าย ตามฟ้องข้อ 47 จำคุก 1 ปี เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว ให้จำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรกและวรรคสี่ (เดิม) ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย ตามฟ้องข้อ 48 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8

สรุปศาลฎีกา มีคำพิพากษาว่า จำเลยที่ 1, 2, 3, 4, 5, 7 จำคุกตลอดชีวิต จำเลยที่ 8 จำคุก 45 ปี จำเลยที่ 9 และที่ 11 จำคุกคนละ 15 ปี จำเลยที่ 10 จำคุก 20 ปี 4 เดือน ส่วนจำเลยที่ 5 ศาลจำหน่ายออกจากสารระบบระหว่างอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมที่ 1 และ โจทก์ร่วมที่ 2 เป็นเงิน จำนวน 6,640,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันพิพากษา