บอร์ดอีอีซี เตรียมรายงานอุปสรรคเมืองการบินภาคตะวันออก ต่อ ครม. หวั่นเอกชนสะดุด

บอร์ดอีอีซี เตรียมรายงานอุปสรรคโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและ
เมืองการบินภาคตะวันออกต่อ ครม. หวั่นเอกชนสะดุด กระทบลงทุน

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เปิดเผยภายหลังการเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ. หรือบอร์ดอีอีซี) ว่า ที่ประชุมได้รับทราบปัญหาอุปสรรค และข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นภายหลังการลงนามสัญญาร่วมทุน โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ซึ่งผลกระทบต่อความเป็นไปได้ทางการเงินของโครงการฯ และอาจมีผลให้เอกชนคู่สัญญาไม่สามารถดำเนินโครงการได้ รวมถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อภาครัฐ และเห็นชอบให้เสนอคณะรัฐมนตรี รับทราบปัญหาอุปสรรคดังกล่าว และมอบหมายให้ สกพอ. เจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคทั้งหมดบนพื้นฐานความสมเหตุสมผล เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการฯ และเกิดการลงทุนได้จริง

นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เปิดเผยว่า โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก วงเงิน 290,000 ล้านบาท ที่มีกองทัพเรือเป็นเจ้าของโครงการ และมี บจ.อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น (UTA) ที่นำโดย บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง (BTS) และบมจ.การบินกรุงเทพ (บางกอกแอร์เวย์ส) เป็นเอกชนคู่สัญญาโครงการ ซึ่งได้ลงนามในสัญญาไปเมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 2563 แต่ยังไม่ได้ส่งมอบหนังสือให้เริ่มงาน (Notice to Proceed: NTP) เนื่องจากยังติดขัดเงื่อนไขในการส่งมอบงานนั้น

รายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ในวันที่ 18 มิ.ย. 2568 อีอีซีกำหนดเอาไว้แล้วว่า จะเป็นวันที่จะส่งมอบหนังสือ NTP เนื่องจากเงื่อนไขในการส่งมอบพื้นที่ตอนนี้เหลืออยู่เรื่องเดียวคือ เงื่อนไขเกี่ยวกับระยะเวลาและแผนการก่อสร้าง ร่วมกับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ( ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) หรือไฮสปีด ซึ่งยังมีความล่าช้าอยู่ โดยอีอีซีเห็นว่า ควรจะสละเงื่อนไขนี้ออกไป เพื่อให้โครงการสามารถเดินหน้าไปได แต่ใกล้ถึงวันส่งมอบสัญญาได้จำเป็นที่จะต้องขยายกำหนดออกไปอีกเป็นวันที่ 31 ก.ค. 2568  เนื่องจากการเจรจากับ บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่นจำกัด (UTA) ผู้รับสัมปทานฯ ยังไม่จบ ในเงื่อนไขให้ก่อสร้างไปก่อน บนสมมุติฐานที่ยังไม่มีรถไฟความเร็วสูง

โดยก่อนหน้านี้มีการเจรจาปรับแผนการพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินจาก 4 ระยะ (เฟส) เป็น 6 ระยะแล้ว แต่เมื่อยังไม่มีรถไฟความเร็วสูงจึงมีการเสนอที่จะปรับการพัฒนา ในระยะแรก เพื่อลดการลงทุนให้เหมาะสมกับจำนวนผู้โดยสาร เช่น ระยะแรกกำหนดไว้ที่ 6 -8 ล้านคนก็อาจจะเริ่มต้นที่ 3 ล้านคนก่อน แล้วค่อยพัฒนาให้เต็มเฟสเมื่อมีรถไฟความเร็วสูงเข้ามา และเมื่อมีผู้โดยสารถึงระดับ 80% ของขีดความสามารถระยะแรก หรือมีจำนวน 2.4 ล้านคน จึงดำเนินการพัฒนาในระยะที่ 2 และต่อไป จนรองรับผู้โดยสาร 60 ล้านคนตามเป้าหมาย

นอกจากนี้ที่ประชุม กพอ. ยังได้อนุญาตให้ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ประกอบกิจการพลังงาน ตามอำนาจมาตรา 37 (4) แห่งพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 ในเขตส่งเสริมเมืองการบินภาคตะวันออก (EECa) โดยการอนุญาตเป็นไปตาม หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของกฎหมายว่าด้วยการประกอบกิจการพลังงาน
ทั้งนี้การอนุญาตดังกล่าว ครอบคลุมถึง การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar) ขนาดกำลังผลิตติดตั้ง 18 เมกะวัตต์ 2 และการจำหน่ายไฟฟ้าขนาดความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด 15 เมกะวัตต์ ให้แก่กิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ ระยะเวลา 25 ปี รวมถึงการอนุญาตประกอบกิจการโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar) ลำดับที่ 88 (1) และการอนุญาตให้ผลิตพลังงานควบคุม (พ.ค.2) ซึ่งเป็นการผลิตไฟฟ้าที่มีขนาดกำลังการผลิตตั้งแต่ 200 กิโลโวลต์แอมแปร์ขึ้นไป เป็นระยะเวลา 4 ปี