
จากกรณี สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ปล่อยคลิปเสียงบทสนทนากับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย ส่งผลให้พรรคร่วมรัฐบาล พรรคภูมิใจไทย (ภท.) แถลงถอนตัวจากฝ่ายค้าน รวมถึงพรรคฝ่ายค้าน ได้เรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาฯ รวมถึงให้ น.ส.แพทองธารฯ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
วันนี้ (20 มิ.ย.68) ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เปิดเผยถึง 3 ทางเลือกของนายกรัฐมนตรีท่ามกลางสถานการณ์การเมือง คือ 1.ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป ภายหลังจาก พรรคภูมิใจไทย ถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล หากพรรคร่วมรัฐบาลมีการถอนตัวมากขึ้นจะส่งผลกระทบต่อรัฐบาลด้วย 2 วิธีใหญ่ๆ ดังนี้
- ถ้าสภาฯ พยายามจะผ่านร่างพระราชบัญญัติที่รัฐบาลเป็นผู้เสนอ แต่ถ้าถูกโหวตคว่ำ รัฐบาลจะต้องลาออก เพื่อรับผิดชอบ
- ถ้ารัฐบาลถูกญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งในส่วนของการลงมติ หากเสียงสนับสนุนไม่เพียงพอ นายกรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่ง ดังนั้น ถ้ารัฐบาลไปต่อด้วยเสียงสนับสนุนปริ่มน้ำ (257) ฝ่ายค้าน (238) รัฐบาลอาจต้องดึงเสียงสนับสนุนเพิ่มขึ้น
2.นายกรัฐมนตรีลาออก และมีการเสนอชื่อเลือกนายกใหม่ และ 3.ยุบสภาฯ หรือเลือกตั้งใหม่ภายใน 45-60 วัน หากยุบสภาปลายเดือน มิ.ย. เลือกตั้งเสร็จช่วงปลายเดือน ส.ค. แล้วต้องใช้เวลาสักระยะในการตั้งรัฐบาลใหม่

ดร.พิพัฒน์กล่าวว่า ปัญหาสำคัญหากยุบสภาฯ จะทำให้ร่างพระราชบัญญัติทุกฉบับที่ค้างอยู่ในสภาฯ เช่น เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ แต่ที่สำคัญที่สุดคือร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีของปีงบประมาณหน้า ที่ผ่านมาวาระ 1 แล้ว ซึ่งจะถูกปัดตกไปด้วย
หากย้อนกลับไปในช่วงรัฐบาลของอดีตนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ที่ตั้งรัฐบาลล่าช้า เนื่องจากมีการเลือกตั้งในเดือน พ.ค.66 แต่ได้ตั้งรัฐบาลจริงในเดือน ส.ค.66 ส่งผลให้ต้องยกพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายขึ้นมาพิจารณาใหม่ทั้งหมด ใช้เวลา 2 ไตรมาส ทำให้รัฐบาลต้องใช้งบประมาณรายจ่ายของปีก่อนไปพลางก่อน ตามกฏหมายรัฐธรรมนูญ
ส่งผลให้งบลงทุนในจีดีพีปี 2566 ช่วงไตรมาส 4/2566 ติดลบ 20% มีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น หรือ -1% อีกทั้งทำให้ไตรมาส 1/2567 งบฯ ลงทุนหายไปเกือบ 30% สะท้อนจีดีพีต่ำกว่าที่ควรจะเป็นอีกเกือบ 2%
“นี่เป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจที่มหาศาล ถึงแม้เศรษฐกิจจะขยายตัวขึ้นมาในไตรมาสหลัง เป็นผลจากฐานที่ต่ำในปีก่อน แต่ตอนนี้จะเป็นสถานการณ์ที่น่ากังวล เพราะการเมืองครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งก่อน อีกทั้งวันนี้เครื่องจักรทางเศรษฐกิจไทยมีปัญหาเกือบหมดทุกตัว ดังนั้น การยุบสภาฯ เป็นทางเลือกที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากที่สุด”ดร.พิพัฒน์กล่าว

ดร.พิพัฒน์กล่าวว่า เนื่องจาก 1.การยุบสภาฯ มีโอกาสทำให้งบประมาณรายจ่ายประจำปีล่าช้าออกไป 1 ไตรมาส และมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจแน่นอน
2.ที่น่าเป็นห่วงการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งระยะเวลากำหนดให้ไม่เกินวันที่ 9 ก.ค.68 หากรัฐบาลถูกบังคับให้ยุบสภาฯ ส่งผลให้ความเป็นเอกภาพในการเจรจาต่อสหรัฐฯ สะดุดลงได้ รวมถึงงบฯ กระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท อาจสะดุดลงเช่นกัน ดังนั้น รัฐบาลมีความจำเป็นที่ต้องยื้อประเด็นเหล่านี้ผ่านไปให้ได้
3.ความไม่แน่นอนทางการเมือง ส่งผลต่อนโยบายและการลงทุน ทำให้นักลงทุนยังไม่ลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์ไปก่อน ซึ่งกระทบต่อเศรษฐกิจได้แน่นอน

ดร.พิพัฒน์กล่าวว่า ขณะนี้มองว่ารัฐบาลเลือกไปต่อไปก่อน ซึ่งยังต้องติดตามสถานการณ์ ช่วงต้นเดือนก.ค.นี้ ที่จะมีการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง ที่น่าจะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ ดังนั้น จะเห็นภาพที่ชัดเจนในช่วงปลายเดือนมิ.ย. หรือต้นเดือน ก.ค.นี้
ทั้งนี้ ย้ำว่าต้นทุนทางเศรษฐกิจค่อนข้างสำคัญมาก เพราะแม้ไม่มีปัญหาทางการเมือง ครึ่งหลังปี 2568 ก็มองว่าเหนื่อยมากอยู่แล้ว จากปัญหานักท่องเที่ยวที่จำนวนลดลง ภาคการผลิตมีปัญหา การปล่อยกู้ของธนาคารชะลอตัวลง เพราะความไม่มั่นใจในเศรษฐกิจโดยรวม
“ทั้งหมดนี้เป็นแรงกดดันต่อเศรษฐกิจอยู่แล้ว หากเจอปัญหาการเมืองมาสนับสนุนจะทำให้ครึ่งหลังของปีนี้มีสิทธิ์ที่จะเห็นจีดีพีติดลบติดกัน 2 ไตรมาส ถือว่าเศรษฐกิจไทยถดถอยทางเทคนิคแล้ว”ดร.พิพัฒน์กล่าว