
วันนี้ (25 มิ.ย.68) นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยภายหลังจากการประชุม กนง. ว่า กนง. ปรับเพิ่มการประมาณการณ์เศรษฐกิจ (จีดีพี) ไทยในปี 2568 อยู่ที่ 2.3% จากเดิมที่ 2% ภายใต้สมมติฐานที่ไทยถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ (reciprocal tariff) 18% (ครึ่งหนึ่งของที่เคยประกาศไว้ ณ วันที่ 2 เม.ย.68) ขณะที่ประเทศอื่นถูกเรียกเก็บ 10%
โดยอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ที่ 2.3% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากข้อมูลเศรษฐกิจจริงในไตรมาสที่ 1 และเครื่องชี้เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 มีแนวโน้มขยายตัวดีกว่าที่ประเมินไว้ โดยการส่งออกที่ขยายตัวได้สูงจากกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และสินค้าที่มีการเร่งส่งออกไปสหรัฐฯ ส่งผลบวกต่อภาคการผลิตและภาคบริการที่เกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจครึ่งหลังปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง โดยคาดว่าการส่งออกสินค้าจะได้รับผลกระทบมากขึ้นจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ การบริโภคภาคเอกชนชะลอลงตามแนวโน้มรายได้และความเชื่อมั่นที่ลดลง
อีกทั้งด้านจำนวนนักท่องเที่ยวปรับลดลง แม้รายรับนักท่องเที่ยวยังขยายตัวได้จากค่าใช้จ่ายต่อหัว โดยธุรกิจส่วนหนึ่งยังถูกกดดันจากสินค้านำเข้าและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
หากพิจารณาแรงส่งทางเศรษฐกิจ โดยเทียบไตรมาสต่อไตรมาส (QoQ) เฉลี่ยในครึ่งแรกของปี 2568 จีดีพีขยายตัวอยู่ที่ 0.6% คาดการณ์ครึ่งหลังปีนี้ขยายตัวลดลงอยู่ที่ 0.1% ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องในปี 2569 โตต่ำที่ 1.7% จากเดิมคาดว่าจะโตที่ 1.8% ซึ่งเป็นการชะลอตัวลงค่อนข้างเยอะพอสมควร
“ทำไมมั่นใจว่าปีนี้มองที่ 2.3% จีดีพีปี 2568 ไม่ต่ำกว่า 2% หากดูจากอดีตถ้าเศรษฐกิจจะต่ำกว่า 2% ได้ จำเป็นต้องมีเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค หรือการขยายตัวรายไตรมาสติดลบติดต่อกัน 2 ไตรมาส”นายสักกะภพกล่าว
โดยช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ไทยเคยเกิดเศรษฐกิจถดถอย 4 ครั้ง ช่วงปี 2540 วิกฤติต้มยำกุ้ง ปี 2551 วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ (วิกฤตสินเชื่อซับไพรม์) ปี 2553 ช่วงความไม่สงบทางการเมือง และปี 2562 ช่วงเกิดโควิด-19
ดังนั้น จะเห็นว่าช็อกแต่ละช่วงเป็นช็อกค่อนข้างใหญ่ และส่วนใหญ่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดในต่างประเทศ หรือมีการเกิดเศรษฐกิจถดถอยในต่างประเทศ ขณะนี้ยังไม่เห็นสัญญาณนั้น รวมถึงจากเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมาไม่เห็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวแรงมาก
“ถ้าประเมินว่าเศรษฐกิจไม่โตเลยช่วงไตรมาส 3-4/2568 เศรษฐกิจจะขยายตัวที่ 2.2% เศรษฐกิจต้องติดลบ 0.3% ถึงทำให้ในปีนี้จะโตต่ำกว่า 2% ”นายสักกะภพกล่าว