ศึกนอกยุ-ศึกในสั่น “เอกชน” ชี้ยุบสภาฯ ฉุดเศรษฐกิจ “พังแน่”

ศึกนอกยุ-ศึกในสั่น! “เอกชน” มอง 3 ทางเลือก “รัฐบาล” โต้คลื่นการเมืองระอุ ลั่นยุบสภาฯ ทำงบฯ 1.15 แสนล้าน สะดุด ปล่อยไม่ทันไตรมาส 3/2568 ฉุดเศรษฐกิจ “พังแน่”

จากกรณี สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ปล่อยคลิปเสียงบทสนทนากับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย ส่งผลให้พรรคร่วมรัฐบาล พรรคภูมิใจไทย (ภท.) แถลงถอนตัวจากฝ่ายค้าน รวมถึงพรรคฝ่ายค้าน ได้เรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาฯ หรือ ให้ น.ส.แพทองธารฯ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

วันนี้ (19 มิ.ย.68) นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงทางเลือกของรัฐบาล ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองไทย โดยมีมุมมอง 3 ทางเลือกที่อาจเกิดขึ้นต่อจากนี้

1.ปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้กระแสตีกลับในเชิงบวกต่อนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็เป็นทางเลือกที่ขนาดนี้อยู่ในเส้นทางนี้ 2.การเลือกตั้งใหม่ โดยที่นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง 3.การคืนอำนาจให้กับประชาชน หมายถึงประชาชนเห็นด้วยกับสิ่งที่นายกรัฐมนตรีทำหรือไม่ หรือเห็นด้วยกับข้อสังเกตของสังคมที่กล่าวหานายกรัฐมนตรีว่าปฏิบัติตัวไม่เหมาะสม

นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ถ้าถามเหตุการณ์ 2 ลำดับแรกจะมีผลต่อเศรษฐกิจอย่างไรนั้น หากเป็นข้อ 1 ตีความว่าสภาฯ ไม่ได้มีข้อเสียหาย แล้วไม่มีเหตุผลในการยุบสภาฯ แล้วถ้าไม่มีการยุบสภาฯ การพิจารณาเรื่องต่างๆ ทั้งกฎหมายงบประมาณของสภาฯ ยังคงดำรงต่อไป

ดังนั้น งบประมาณแผ่นดินยังสามารถพิจารณาได้ต่อเนื่อง เพียงแต่ว่าใครเป็นรัฐบาล งบประมาณยังใช้โครงสร้างเดิมหรือไม่ เพราะฉะนั้นไม่มีผลต่อเศรษฐกิจเพราะงบประมาณถูกใช้ตามปกติ และไม่มีการล่าช้าไปอีก 6-9 เดือน

“หากมีการยุบสภาฯ จะมีปัญหาในเรื่องเศรษฐกิจได้รับผลกระทบ จากงบประมาณเกิดการใช้ล่าช้าอีก 6-9 เดือน ดังนั้น รัฐบาลจะประคองงบฯ ไปถึงแค่ไหน”นายธนวรรธน์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอาจต้องดูกระแสสังคมว่ารุนแรงแค่ไหน และแรงเสียดทานทางการเมืองจะรุนแรงแค่ไหน แรงกดดันต่อพรรคร่วมรัฐบาลเป็นอย่างไร เพราะกรณีที่เกิดขึ้น ไม่ใช่กรณีทั่วไป แต่เป็นกรณีที่พูดถึงการทำหน้าที่ที่เหมาะสมหรือไม่ และพูดถึงรัฐบาลอยู่ในมิติที่ปกป้องอธิปไตยของประเทศหรือไม่ คือสิ่งที่สังคมตั้งประเด็น

ดังนั้น แรงกดดันที่พรรคภูมิใจไทยทำในการลาออกก็เป็นแรงกดดันของพรรครวมรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลอยู่ภายใต้แกนนำของพรรคเพื่อไทย พรรคร่วมรัฐบาลจะถูกกระแสสังคมวิจารณ์หรือไม่ ต่อมาหากมีการเปลี่ยนขั้วเปลี่ยนข้าง โดยให้พรรคภูมิใจไทย หรือพรรคประชาชน เป็นแกนนำฝ่ายค้าน รัฐบาลจะมีเสถียรภาพหรือไม่

“รัฐบาลยังอยู่ได้และงบประมาณสามารถผ่านไปได้จะไม่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ แต่ดูเมื่อวาน (18 มิ.ย.) ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาล ส่งผลกระทบต่อหุ้นที่มีการเคลื่อนไหวต่ำลง -17 จุด ซึ่งต้องดูกระแสว่าจะเป็นอย่างไร”นายธนวรรธน์ กล่าว

นายธนวรรธน์ กล่าวว่า เศรษฐกิจครึ่งหลังปีนี้ ได้งบประมาณ 1.15 แสนล้านบาท จากงบฯ 1.57 แสนล้านบาท จะนำเงินโครงการหลากหลายและกระตุ้นเศรษฐกิจได้ประมาณ 0.4-0.5% แต่ก็ขึ้นอยู่กับคณะรัฐมนตรี (ครม.) หากเสนอโครงการผ่านก็สามารถดำเนินการตามแผนได้

ขณะเดียวกัน หากโครงการเหล่านี้ไม่ผ่าน ครม. แสดงว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่คาดหวังว่าจะมีเงินหมุนในไตรมาส 3/2568 ซึ่งเป็นเงินดังกล่าวจะถูกขยายระยะเวลา ทำให้เกิดความล่าช้าออกไป

“แน่นอนว่าการดำรงอยู่ของรัฐบาล มีผลต่องบประมาณ ถ้ารัฐบาลใหม่มีการเปลี่ยนขั้ว แต่รื้องบฯ ใหม่ หรือจะเดินหน้าต่อ ล้วนมีผลต่อเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงจะโต 1-1.5%”นายธนวรรธน์ กล่าว

ทั้งนี้ เหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจน้อยที่สุด คือ ให้สภาฯ ดำรงอยู่ตอไป จะทำให้งบประมาณจะถูกปล่อยออกมาไม่ล่าช้า และมีผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปลายปีนี้ และปี 2569 อย่างไรก็ตาม ควรทำให้การเมืองไทยมีเสถียรภาพเร็วที่สุดจะดีต่อการเมืองและเศรษฐกิจไทยในระยะยาว