
วันนี้ (23 ก.ค.68) รายงานจาก ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะยังขยายตัวใกล้เคียงมุมมองเดิมที่ 1.5% แม้ในกรณีที่ไทยเจรจาสหรัฐฯ ขอลดภาษีตอบโต้ลงได้บ้างภายใน 1 ส.ค. แต่อัตราภาษีไทยสูงกว่าคู่แข่งหลัก ส่วนหนึ่งเพราะมีการเร่ง Front-loading สินค้าส่งออกก่อนสหรัฐฯ จะเริ่มเก็บภาษีนำเข้าสูงไว้แล้ว
แต่ในช่วงครึ่งปีหลังการส่งออกจะได้รับผลกระทบรุนแรงขึ้นจากนโยบายภาษีสหรัฐฯ (Reciprocal tariffs) ไทยที่อาจสูงกว่าคู่แข่งในตลาดสหรัฐฯ โดยในปัจจุบันพบว่ากำแพงภาษีสหรัฐฯ รายสินค้าเริ่มส่งผลลบต่อคู่ค้าที่เน้นส่งออกสินค้าที่ถูกเก็บ Specific tariffs แล้ว

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2569 จะขยายตัวต่ำลงมากเหลือเพียง 1.2% จากการส่งออกและลงทุนภาคเอกชนที่จะหดตัวมากขึ้นจากกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ที่จะมีผลต่อเนื่องไปถึงปีหน้า
สินค้าส่งออกสำคัญของไทยเผชิญความเสี่ยงจากการสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ให้คู่แข่งที่ถูกเก็บภาษีตอบโต้ต่ำกว่า โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า มีแนวโน้มจะสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้คู่แข่งในอาเซียน, ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
นอกจากนี้ ไทยอาจเผชิญความเสี่ยงจากการถูกเก็บภาษีสินค้าสวมสิทธิ เช่นเดียวกับเวียดนาม ซึ่งจะยิ่งเพิ่มต้นทุนการค้า รวมถึงสินค้าไทยอาจต้องเผชิญมาตรการตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าของสหรัฐฯ ที่เข้มงวดขึ้น กระทบการส่งออกสินค้าไทยที่มีสัดส่วนการนำเข้า (Import content) สูงเพิ่มเติมอีกด้วย

สำหรับกรณีเลวร้ายหากไทยเจรจาไม่สำเร็จ (Worse case) สหรัฐฯ เก็บภาษีตอบโต้ไทย 36% เท่าเดิมเริ่มตั้งแต่ 1 ส.ค. แต่คู่แข่งสำคัญในตลาดสหรัฐฯ เช่น เวียดนาม เสียภาษีตอบโต้ในอัตราต่ำกว่ามากอยู่ที่ 20% ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตเหลือเพียง 1.1% ในปีนี้ และขยายตัวต่ำลงมากเหลือ 0.4% ในปี 2569 จากการส่งออกและการลงทุนภาคเอกชนที่จะหดตัวมากต่อเนื่อง
ในระยะต่อไปต้องจับตาข้อเสนอใหม่ของไทยในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ โดยปัจจุบันรัฐบาลยังคงพิจารณาการเปิดตลาดเสรีตามข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ โดยเฉพาะภาคเกษตร เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อเกษตรกรและผู้ประกอบการ
ประเมินว่า อุตสาหกรรมเกษตรและปศุสัตว์ โดยเฉพาะสุกร, ไก่เนื้อ และข้าวโพด จัดอยู่ในกลุ่มที่มีความอ่อนไหวสูง หากไทยต้องเปิดตลาดเสรีให้สินค้าสหรัฐฯ เนื่องจาก
- 1.ต้นทุนการผลิตของไทยสูงกว่าสหรัฐฯ (รวมค่าขนส่งมาไทย) ค่อนข้างมาก
- 2.ปัจจุบันไทยพึ่งพาผลผลิตในประเทศเป็นหลัก หากจะต้องพึ่งพาการนำเข้ามากขึ้น ภาครัฐจะต้องพิจารณาประเด็นความมั่นคงทางอาหารของประเทศอย่างสมดุล
- 3.ผู้ผลิตและผู้เล่นที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่การผลิตในประเทศอาจได้รับผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อยที่มีต้นทุนผลิตสูงกว่า ดังนั้น หากไทยจะเปิดเสรีสินค้าเกษตรกับสหรัฐฯ ภาครัฐจะต้องเตรียมมาตรการรองรับเพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการและเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบและช่วยให้สามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสม

นอกจากผลการเจรจาต่อรองการค้ากับสหรัฐฯ ที่ยังไม่แน่นอน เศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้จะมีแรงกดดันเพิ่มเติมจากหลายปัจจัย คือ 1.การท่องเที่ยวไทยยังเผชิญปัจจัยเสี่ยงสูง แม้นักท่องเที่ยวจีนจะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นเล็กน้อย แต่เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนจากกำแพงภาษีของสหรัฐฯ อาจส่งผลต่อการใช้จ่ายท่องเที่ยวในระยะข้างหน้า
2.ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาที่จะกระทบเศรษฐกิจไทยได้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของมาตรการตอบโต้ระหว่างกัน และ 3.ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่อาจกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณในปี 2568 – 2569
สำหรับมุมมองเศรษฐกิจโลกในปี 2569 ปรับดีขึ้นบ้าง หลังสหรัฐฯ เลื่อนเก็บภาษีตอบโต้เป็น 1 ส.ค. และการเจรจากับประเทศคู่ค้ามีความคืบหน้ามากขึ้น แต่ผลของกำแพงภาษีสหรัฐฯ จะชัดเจนมากขึ้นหลังเดือน ส.ค. และจะกดดันเศรษฐกิจโลกต่อเนื่องไปถึงปี 2569
โดยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ พบว่า เครื่องชี้กิจกรรมเศรษฐกิจของโลกยังขยายตัวได้ดีจากการเร่งผลิตเพื่อส่งออกเช่น เศรษฐกิจจีนขยายตัวได้ดีกว่าคาดในไตรมาส 2 อยู่ที่ 5.2%YOY ส่วนหนึ่งจากการส่งออกที่ยังขยายตัวดี โดยเฉพาะในตลาดอาเซียนและยุโรป อย่างไรก็ดี การนำเข้าของสหรัฐฯ ในไตรมาส 2 เริ่มลดลงต่ำกว่าเทรนด์ปกติหลังเร่งนำเข้าล่วงหน้า (Front-load) ไปมากตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาส 4 ปี 2567 ต่อเนื่องมาถึงไตรมาส 1 ปีนี้

สหรัฐฯ เจรจาประเทศต่าง ๆ คืบหน้ามากขึ้น โดยเฉพาะหลังประธานาธิบดีทรัมป์ส่งจดหมายถึงคู่ค้าหลักกลุ่มแรก ๆ แจ้งอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ที่จะเริ่มเก็บตั้งแต่ 1 ส.ค. พร้อมกับเร่งให้คู่ค้ายื่นข้อเสนอที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อสหรัฐฯ มากขึ้น นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังขู่จะเริ่มเก็บภาษีรายสินค้า (Specific tariffs) เพิ่มอีกหลายรายการ เช่น ทองแดง, ยา และเซมิคอนดักเตอร์ ภายในปีนี้
จากสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนไปเช่นนี้ SCB EIC ประเมินว่ามีโอกาสมากขึ้นที่จะเห็น กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 2 ครั้งในปีนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าที่จะแย่ลงกว่าที่ กนง. เคยประเมินไว้ แต่หากการเจรจากับสหรัฐฯ ไม่สำเร็จหรือเกิดผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เพิ่มเติม เศรษฐกิจไทยจะยิ่งเผชิญความเสี่ยงด้านต่ำสูงขึ้น อาจมีโอกาสเห็น กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมากกว่า 2 ครั้งในปีนี้