คนไทยติดหรูจัด “สศช.” พบ 50% ไร้เงินเก็บ เสี่ยงเป็นหนี้เสียพุ่ง

ติดแกลมเกิน! “สศช.” เผยผลวิจัย “คนไทยติดหรู” ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง โดย 50% พบมีเงินเก็บออมน้อยกว่า 6 เดือน เสี่ยงเป็น ไหนี้เสีย” หลับ 3 เดือนแรกปี’68 หนี้ครัวเรือนแตะ 16.42 ล้านล้าน

วันนี้ (9 มิ.ย.68) นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยภาวะสังคมไทยไตรมาส 1 ปี 2568 ว่า คนไทยมีพฤติกรรมติดหรู ซึ่งอาจนำไปสู่การก่อหนี้เกินตัวได้ง่าย จากงานวิจัย ของมหาวิทยาลัยมหิดล ในปี 2567 พบว่าคนไทย 1 ใน 3 นิยมใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าหรู (Luxury) สาเหตุเกิดจากความต้องการได้รับการยอมรับจากสังคม

จากการวิจัยพบผู้ชายติดหรูมากกว่าผู้หญิง สินค้าที่นิยม อาทิ อุปกรณ์เทคโนโลยี เครื่องแต่งกายและสินค้าแฟชั่น อาหารและเครื่องดื่ม สำหรับผู้หญิง อาทิ อาหารและเครื่องดื่ม เครื่องสำอาง น้ำหอม สกินแคร์ เครื่องแต่งกายและสินค้าแฟชั่น

“นอกจากนี้ 50% ของผู้รสนิยมติดหรูมีเงินเก็บน้อยกว่า 6 เดือน มีแนวโน้มเข้าสู่วงจรหนี้ง่ายขึ้น สะท้อนปัญหาการขาดความรู้ และการวางแผนทางการเงินที่เหมาะสม”นายดนุชากล่าว

นายดนุชา กล่าวว่า ภาวะหนี้สินครัวเรือนในไตรมาส 4 ปี 2567 พบว่า หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่ารวม 16.42 ล้านล้านบาท ขยายตัว 0.2% ชะลอตัวลงต่อเนื่อง 6 ไตรมาสติดต่อกัน จากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ที่ให้สินเชื่อลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP ปรับลดลงมาอยู่ที่ 88.4% จาก 88.9% ในไตรมาสก่อนหน้า

เมื่อพิจารณาหนี้ครัวเรือนจำแนกตามวัตถุประสงค์การก่อหนี้ ในไตรมาส 4 ปี 2567 พบว่าสินเชื่อที่ขยายตัวชะลอลง ได้แก่ สินเชื่อเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ ขยายตัว 2.3% จาก 2.5% ในไตรมาสก่อน ตามกำลังซื้อที่ลดลง

เช่นเดียวกับสินเชื่อส่วนบุคคล ขยายตัว 3.9% จากเดิมที่ไตรมาสก่อนขยายตัว 4.6% และสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับที่ขยายตัวเพียง 1.4% จากเดิมที่ไตรมาสก่อนขยายตัว 4.0%

“ขณะที่ประเภทสินเชื่อที่หดตัว ได้แก่ สินเชื่อยานยนต์หดตัว 9.6% ตามยอดขายรถยนต์ส่วนบุคคลและรถจักรยานยนต์ที่ลดลง สินเชื่อบัตรเครดิตหดตัว 3.4% และสินเชื่อเพื่อการประกอบธุรกิจหดตัว 0.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน”นายดนุชา กล่าว

นายดนุชา กล่าวว่า คุณภาพสินเชื่อของครัวเรือนลดลง โดยในไตรมาสสี่ ปี 2567 จากข้อมูลบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด พบว่า มูลค่าสินเชื่อส่วนบุคคลที่ค้างชำระเกิน 90 วันขึ้นไป (หนี้เสีย) มีมูลค่า 1.22 ล้านล้านบาท ขยายตัว 16.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็นสัดส่วน 8.94% ของสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็น ไตรมาสที่ 4 ติดต่อกัน 

โดยสัดส่วนหนี้เสียต่อสินเชื่อรวมในสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อเพื่อการพาณิชย์ และสินเชื่ออื่น ๆ โดยเฉพาะสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพ และสินเชื่อเช่าซื้ออื่นที่ไม่ใช่รถยนต์ที่มีสัดส่วนสูงถึง 27.25% และ 22.02% 

สำหรับสินเชื่อที่มีสัดส่วนหนี้เสียต่อสินเชื่อรวมลดลง ได้แก่ สินเชื่อที่อยู่อาศัย บัตรเครดิต และการเกษตร ขณะที่สินเชื่อส่วนบุคคลมีสัดส่วนคงที่ที่ 10.77% สำหรับด้านสินเชื่อค้างชำระระหว่าง 30 – 90 วัน (SMLs) มีมูลค่า 5.68 แสนล้านบาท ลดลง 6.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป็นการลดลง 2 ไตรมาสติดต่อกัน 

“อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณารายประเภทสินเชื่อพบว่า SMLS ของสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อเพื่อการพาณิชย์ มีสัดส่วนต่อสินเชื่อรวม และมูลค่าขยายตัวมากขึ้น สะท้อนแนวโน้มที่อาจมีหนี้เสียเพิ่ม จึงต้องส่งเสริมให้ลูกหนี้โดยเฉพาะในกลุ่มดังกล่าวปรับโครงสร้างหนี้ผ่านโครงการคุณสู้เราช่วยที่มีการดำเนินการอยู่”นายดนุชา กล่าว