
วันนี้ (10 มิ.ย.68) นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า ประเด็นที่จับตาเป็นสำคัญจากปี 2567 ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี) มีการจดทะเบียนเลิกกิจการไปเกือบ 2.4 หมื่นแห่ง
และมีโรงงานเลิกกิจการไปกว่า 1,234 โรงงาน โดยเป็นโรงงานขนาดกลางและขนาดเล็กเป็นหลัก กระทบกับแรงงานกว่า 3.5 หมื่นคน ซึ่งโรงงานที่เลิกกิจการส่วนใหญ่เป็นโรงงานในภาคการผลิตที่มีปัญหาด้านความสามารถในการแข่งขัน
สศช. จึงแนะนำการประยุกต์ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ SMEs โดยข้อมูลจากรายงาน Thailand Economic Monitor February 2025 ของธนาคารโลก พบว่าธุรกิจในไทยมีการใช้นวัตกรรมในกิจกรรมต่าง ๆ ในสัดส่วนที่น้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีการนำมาใช้ในกระบวนการผลิตเพียง 11.9% น้อยกว่าประเทศฟิลิปปินส์ 40.9% เวียดนาม 37.9% และมาเลเซีย 37.3%
อีกทั้งยังมีการลงทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนาที่ค่อนข้างต่ำ ซึ่งถือเป็นข้อจำกัดต่อความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ และอาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ในปี 2567 ธุรกิจ เอสเอ็มอีมีการจดทะเบียนเลิกกิจการ โดยเฉพาะโรงงานขนาดกลางและขนาดเล็กจำนวนมาก
ดังนั้น จึงควรส่งเสริมให้เอสเอ็มอีไทย สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อเพิ่มโอกาสในการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในการยกระดับกระบวนการผลิต ลดต้นทุน และรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว
“ปัจจุบันเอสเอ็มอีรองรับแรงงานไว้กว่า 12.9 ล้านคน ซึ่งหากสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันไว้ได้ จะส่งผลดีต่อสถานะการจ้างงานและรายได้ของแรงงานด้วย”นายดนุชากล่าว