
คอลัมน์ : ห้อยหัววิเคราะห์ข่าว
รัฐบาลไทยควรใช้วิกฤตข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาเป็นโอกาสในการปราบปรามสแกมเมอร์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มีฐานดำเนินการตามแนวชายแดนของกัมพูชาโดยเฉพาะในเมืองปอยเปตอย่างจริงจังด้วยการตัดไฟและสัญญาณอินเทอร์เน็ต หากกัมพูชายังดื้อดึงที่จะฟ้องศาลโลกเพื่อกดดันไทยแทนการเจรจาแบบทวิภาคี
มาตรการดังกล่าวยังอาจรวมถึงการปิดด่านชายแดนถาวรเพื่อจำกัดไม่ให้นักท่องเที่ยวและนักพนันทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางไปเล่นกาสิโนในกัมพูชา ทั้งนี้ เพื่อเป็นการกดดันต่อรัฐบาลกัมพูชาโดยตรงด้วยการตัดท่อน้ำเลี้ยงต่อฐานอำนาจทางการเมืองในกัมพูชา และเป็นการลดการสูญเสียของประชาชนชาวไทยที่เกิดขึ้นจากการหลอกลวงโดยพวกสแกมเมอร์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยความเสียหายรวมจากอาชญากรรมทางไซเบอร์ที่มีต่อผู้บริโภคชาวไทยพุ่งขึ้นสูงถึง 30,000 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ การปราบปราบสแกมเมอร์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชาด้วยการตัดไฟฟ้าและสัญญาณอินเตอร์เน็ตยังถือเป็นการกระทำเช่นเดียวกันกับที่ปราบปรามสแกมเมอร์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศเมียนมาที่ได้ผลการตอบรับเป็นอย่างดี

การปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ยังเป็นการจำกัดปริมาณของสินค้าไทยที่ส่งออกไปขายยังกัมพูชา อันจะมีผลต่อการการขาดแคลนสินค้าไทยในตลาดกัมพูชาโดยเฉพาะตามเมืองชายแดน ซึ่งจะมีผลต่อผู้บริโภคชาวกัมพูชาโดยตรงและเป็นการกดดันรัฐบาลกัมพูชาอีกทางหนึ่งด้วย
โดยสมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา ได้โพสต์บนเฟซบุ๊กของตนเองว่า เมื่อพิจารณาข้อมูลทางการค้าในปี 2567 แล้ว พบว่ากัมพูชาได้ส่งออกสินค้ามายังประเทศไทยคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ไทยส่งออกสินค้าไปกัมพูชาคิดเป็นมูลค่า 5.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ นั่นหมายความว่าประเทศไทยส่งออกไปยังกัมพูชามากกว่ากัมพูชาส่งออกมายังประเทศไทยคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 4.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ กัมพูชาได้ส่งออกสินค้ามายังประเทศไทยมากกว่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ไทยส่งออกสินค้าไปยังกัมพูชาคิดเป็นมูลค่า 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ฮุน เซน ยังได้เตือนว่าการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา อาจนำไปสู่การขาดหายของสินค้าไทยในตลาดกัมพูชา ซึ่งไม่ใช่เป็นเพราะผู้บริโภคชาวกัมพูชาตั้งใจจะบอยคอทสินค้าไทย หากแต่เป็นเพราะว่าเป็นผลต่อเนื่องจากการปิดชายแดนของไทยเอง เนื่องจากไม่ใช่เพียงแต่ประชาชนที่ถูกจำกัดการข้ามแดน แต่สินค้าต่างๆ ก็ถูกจำกัดการข้ามแดนเช่นกัน ดังนั้น ประชาชนชาวไทยควรแก้ปัญหานี้โดยตรงต่อรัฐบาลของตนเอง เนื่องจากเป็นประชาชนชาวไทยเองที่เดือดร้อน แต่สำหรับประชาชนชาวกัมพูชาแล้ว การขาดหายของสินค้าไทยในตลาดกัมพูชา พวกเขาโปรดอย่าตำหนิรัฐบาลกัมพูชา แต่เป็นผลมาจากการตัดสินใจของรัฐบาลไทยในการปิดด่านชายแดนนั่นเอง

ในกรณีสแกมเมอร์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์แล้ว กัมพูชาถูกมองเป็นศูนย์กลางของการฉ้อโกงและธุรกิจสีเทาในภูมิภาคอาเซียนโดยมีกลุ่มอาชญากรจีนเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ โดยธุรกิจการหลอกลวง หรือ Scamming ได้กลายเป็นอุตสาหกรรมหลักในประเทศกัมพูชาที่สร้างผลกำไรมหาศาล โดยประมาณการรายได้ต่อปีอยู่ที่ 12,500-19,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 400,000-600,000 ล้านบาท สูงกว่ารายได้จากภาคสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มที่เป็นภาคเศรษฐกิจหลักที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ
รายงาน “Policies and Patterns: State-Abetted Transnational Crime in Cambodia as a Global Security Threat” ซึ่งเขียนโดย “เจคอบ ซิมส์” (Jacob Sims) ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญากรรมข้ามชาติและความมั่นคงในภูมิภาค ได้ชี้ว่ากัมพูชากำลังกลายเป็น “ศูนย์กลางของเศรษฐกิจการหลอกลวง” ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ซิมส์ ซึ่งเป็นนักวิจัยรับเชิญของศูนย์เอเชียประจำมหาวิทยาลัย Harvard เปิดเผยว่า เศรษฐกิจการหลอกลวงของกัมพูชามีกำลังแรงงานที่ถูกบีบบังคับกว่า 150,000 คน โดยผลการค้นพบนี้อ้างอิงจากการวิจัยเอกสารอย่างละเอียด และการสัมภาษณ์นักข่าว นักการทูต นักวิเคราะห์ รวมถึงเหยื่อการค้ามนุษย์หลายสิบคน โดยซิมส์เตือนว่า อุตสาหกรรมอาชญากรรมไซเบอร์นี้มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในอาเซียน และถ้าปล่อยไว้โดยไม่รีบจัดการ ในไม่ช้าอาจเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่เกินกว่าจะถูกแก้ไขและปราบปรามได้
ผู้เขียน : ดร.ขวัญชัย รุ่งฟ้าไพศาล อดีตบรรณาธิการ โต๊ะข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ เดอะ เนชั่น ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการมากว่า 30 ปี