
วันนี้ (26 มิ.ย.68) นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่ผิดไปจากเดิมที่เคยคาดไว้ เป็นผลมาจากสงครามการค้าเป็นสำคัญ ที่ทำให้เปลี่ยนมุมมองจากเดิมที่เคยคาดว่าปีนี้ การขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) จะโตได้ 3% ลงมาเหลือค่ากลางที่ 1.7% (กรอบ 1.5-2.0%)
ปัจจัยสำคัญที่เป็นความไม่แน่นอน ซึ่งจะมีผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยใช่ครึ่งหลังปี 2568 ประกอบด้วย
- มาตรการภาษีของสหรัฐฯ โดยมีความไม่แน่นอนเรื่องอัตราภาษีที่ไทยจะสามารถเจรจาต่อรองได้
- ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ซึ่งมีนัยต่อราคาน้ำมันดิบ อัตราเงินเฟ้อ และนโยบายการเงิน
- ความตึงเครียดสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มีผลต่อการลดเวลาเปิด-ปิดด่าน และการห้ามนำเข้าสินค้าบางรายการ
- ประสิทธิผลของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภายใต้งบ 1.57 แสนล้านบาท ขึ้นกับการเบิกจ่ายงบกระตุ้นในโครงการดังกล่าว
- เสถียรภาพของรัฐบาลแพทองธาร ภายหลังกรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุนเซ็น
พร้อมกันนี้ ยังประเมินทิศทางการเมืองจากกรณีฐานที่ว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จะยังอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ตลอดปีนี้ เพราะหากนายกรัฐมนตรีตัดสินใจลาออกในตอนนี้ อาจไม่เป็นผลดี เพราะจะไม่สามารถพลิกฟื้นคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยได้โดยง่าย
ส่งผลต่อการหาเสียงจะยิ่งทำได้ยาก เพราะรัฐบาลจะถูกมองว่ายังไม่สามารถแก้ปัญหาหรือพลิกฟื้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้นได้ แต่ถ้านายกฯ สามารถแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาได้ และทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น คะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทย ก็น่าจะมีความเหมาะสมที่จะสู้การเลือกตั้งได้
“หากนายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภาทันที ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่พรรคเพื่อไทย จะสามารถดึงคะแนนนิยมกลับมาอย่างรวดเร็ว หรือจะเป็นหลักประกันว่าจะสามารถชนะเลือกตั้งเป็นเบอร์ 1 ได้” นายธนวรรธน์กล่าว
ขณะเดียวกัน ต้องจับตาปัจจัยการเมืองสำคัญคือการนัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 28 มิ.ย.นี้ ว่าจะสามารถสั่นคลอนคะแนนนิยมในตัวรัฐบาลได้มากน้อยเพียงใด อีกทั้งต้องรอดูว่าศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ในระหว่างรอคำตัดสินของศาล
หลังจากที่มีผู้ไปยื่นคำร้องปมคลิปสนทนากับสมเด็จฮุนเซ็น และดูต่อเนื่องว่าศาลจะมีคำตัดสินอย่างไร จะต้องถูกถอดถอดออกจากตำแหน่งนายรัฐมนตรีหรือไม่ ซึ่งขั้นตอนนี้คงใช้เวลาอีกสักระยะ
นอกจากนี้ การที่รัฐบาลจะไม่เร่งรีบนำร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อลดแรงกดดันจากสังคม และลดความเสี่ยงจากคะแนนโหวตในสภาฯ ก็หมายความว่ารัฐบาลยังมีโอกาสจะทำงานได้ต่อ
“การที่รัฐบาลยังทำงานได้ต่อ และทำจนถึงร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2569 ผ่านสภาฯ ได้ การที่จะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งหากงบปี 2569 ผ่านไปได้ก่อน การเจรจาภาษีสหรัฐฯ ผ่านไปก่อน ซึ่งเป็นกรณีที่เรามองไว้ในแง่ดีที่สุด รัฐบาลก็ยังสามารถทำงานต่อได้“นายธนวรรธน์กล่าว
อย่างน้อยก็ตาม ต้องดูว่าแรงกดดันทางการเมืองจะมีอีกหรือไม่ ถ้ายังมีอีกเรื่อย ๆ มีการชุมนุมทางการเมืองอยู่เรื่อยๆ มีเหตุการณ์ที่ทำให้รัฐบาลจะต้องออกไปก่อน ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะเปลี่ยนแปลงความเชื่อมั่น แต่ ณ ตอนนี้ รัฐบาลยังทำงานได้ต่อ เคลื่อนนโยบายได้ต่อ เพราะมีเสียงทางการเมืองช่วยสนับสนุน และยังมีอำนาจเต็มในการบริหารประเทศ