ประกันสังคมปรับเกณฑ์ใหม่ (ร่าง) พ.ร.บ.ประกันสังคม ก่อนขอเบิก “เงินชราภาพ” ที่ผู้ประกันตน ประกันสังคม ม.33 เปิดช่องทางเลือกวางแผนได้ตามต้องการ มาทำความเข้าใจ หลักการ เหตุผล และข้อดี ข้อสังเกต
วิธีเช็ก “เงินชราภาพ” สะสมไว้เท่าไรแล้ว ?
ผู้ประกันตนมาตรา 33 จะถูกหักเงินเดือนเพื่อสมทบกองทุนประกันสังคม 5% ของรายได้ทุกๆ เดือน ซึ่งเงินส่วนที่ถูกหักออกไปนั้นจะถูกแบ่งออกไปสมทบ 3 ส่วน เพื่อเป็นหลักประกันในชีวิตของผู้ประกันตนในมิติต่างๆ คือประกันเจ็บป่วย หรือตาย, ประกันการว่างงาน และประกันชราภาพ
เช่น มีรายได้เกิน 15,000 บาทต่อเดือน จะต้องส่งเงินสมทบประกันสังคม เดือนละ 750 บาท (อัตราสูงสุด) โดยเงินจะถูกแบ่งออกไปตามสัดส่วน ดังนี้
ส่วนที่ 1 : 1.5% ของยอดสมทบ หรือสูงสุด 225 บาท จะใช้ในส่วนประกันเจ็บป่วย หรือตาย
ส่วนที่ 2 : 0.5% ของยอดสมทบ หรือสูงสุด 75 บาท จะถูกเก็บไว้ในส่วนของประกันการว่างงาน
ส่วนที่ 3 : 3% ของยอดสมทบ หรือสูงสุด 450 บาท จะถูกเก็บไว้ในส่วนของประกันชราภาพ
ซึ่งเงินที่ถูกสมทบในกลุ่มสุดท้ายที่เรียกว่า “เงินชราภาพ” นี้ จะถูกสะสมไปเรื่อยๆ โดยมีนายจ้างสมทบเพิ่มเท่ากับลูกจ้าง และรัฐบาลช่วยสมทบให้อีก 2.75%
ถือเป็นโอกาสของ ผู้ประกันตนในกองทุนประกันสังคม ม.33 หลังที่ประชุม ครม. เมื่อ 10 พ.ค. 65 ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบ (ร่าง) พ.ร.บ.ประกันสังคม เพิ่มสิทธิประโยชน์ผู้ประกันตน โดยหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ ใน ร่าง พ.ร.บ. ชุดนี้ คือ การมีโอกาสเลือกว่าจะรับเงินที่สมทบในส่วน “เงินชราภาพ” เป็นเงิน “บำเหน็จ” ที่หมายถึงการรับเงินก้อนเดียว หรือ “บำนาญ” แบบทยอยจ่ายไปตลอดชีวิต
เปิดโอกาสให้ผู้ประกันตน นำเงินกรณีชราภาพบางส่วนไปเป็นหลักประกันการกู้เงินรวมถึงปรับเกณฑ์ให้สามารถขอนำเงินบางส่วนออกมาใช้ก่อนได้ ถึงแม้ผู้ประกันตนจะสามารถเลือกรับเงินสะสมของตัวเองได้ สำหรับสิ่งที่ผู้ประกันตนควรจะคำนึงถึงในการตัดสินใจเลือก “บำเหน็จชราภาพ” กับ “บำนาญชราภาพ” มีข้อดีข้อด้อยที่ต้องทำความเข้าใจก่อนตัดสินใจเลือก ให้สอดคล้องกับแผนชีวิตของตัวเอง เพื่อให้มั่นใจว่าการเลือกรับเงินจะไม่ส่งผลกระทบในอนาคตได้
โดยกำหนดให้ผู้ประกันตนมีโอกาสเลือกบริหารจัดการเงินที่สะสมไว้เพื่อโอกาสต่างๆ มากขึ้น กับเกณฑ์ใหม่ “3 ขอ”
เลือกรับเงินบำนาญชราภาพ หรือเงินบำเหน็จชราภาพ เมื่อนำส่งเงินสมทบครบเงื่อนไขการได้รับเงินบำนาญชราภาพแล้ว ตามหลักเกณฑ์ปัจจุบัน (ณ เดือนพ.ค.65) การรับเงินชราภาพ ของผู้ประกันตนประกันสังคมนั้นจะเน้นการให้เงินแบบ บำนาญชราภาพ โดยจะได้สิทธินี้ก็ต่อเมื่อจ่ายเงินสมทบครบ 180 เดือน (15 ปี) และมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง ส่วนเงินบำเหน็จชราภาพนั้นจะได้สิทธิเฉพาะกรณี คือ คนที่จ่ายเงินสมทบไม่ครบ 180 เดือน มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง หรือกรณีเป็นผู้ทุพพลภาพหรือตายก่อนอายุ 55 ปีบริบูรณ์จะได้รับเงินเป็นเงินบำเหน็จชราภาพ
การขอกู้ ผู้ประกันตนนำเงินกรณีชราภาพบางส่วนไปเป็นหลักประกันการกู้เงินกับสถาบันการเงินได้ เช่น หากตรวจสอบดูว่าเรามีเงินชราภาพอยู่ในระบบ แต่ไม่มีเงินสด ไม่มีเครดิตจะไปกู้สถาบันการเงิน ถ้าร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวผ่าน ผู้ประกันตนสามารถไปกู้สถาบันการเงิน โดยกระทรวงแรงงานจะใช้สิทธิในเงินชราภาพไปค้ำประกันได้ เปรียบเทียบกับผู้ประกันตนมีหลักทรัพย์ใช้ค้ำประกันได้ชัวร์ยิ่งกว่าที่ดิน ก็คือ เงินที่หักไปให้ประกันสังคมทุกเดือน ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์เพราะเมื่อถึงเวลาที่เราจำเป็นต้องใช้เงิน ไม่ต้องอาศัยกู้เงินนอกระบบ
การขอคืน สามารถนำเงินกรณีชราภาพที่ตนสมทบอยู่ในกองทุนประกันสังคมออกมาใช้ก่อนบางส่วน ในส่วนของการ ขอคืน สามารถนำเงินกรณีชราภาพที่สมทบอยู่ในกองทุนประกันสังคมออกมาใช้ก่อนบางส่วน พร้อมชี้แจงว่าการนำเงินออกมาใช้ก่อนจะไม่กระทบเสถียรภาพของกองทุนประกันสังคม เพราะการขอคืนก็ต้องมีเหตุจึงขอคืนได้เลย เพราะต้องเกิดวิกฤติ เช่น สถานการณ์โควิด ถูกล็อกดาวน์ และเป็นวิกฤติของโลก จึงออกเป็นกฎหมายนี้ออกมาเพื่อช่วยเหลือ
อย่างไรก็ตาม ยังต้องคอยติดตามรายละเอียดต่อไปว่าการขอนำเงินประกันชราภาพออกมาใช้ในวิกฤติครั้งนี้จะมีเงื่อนไขอะไรอย่างไรอีกบ้าง โดยเงินสะสมประกันชราภาพนี้สามารถตรวจสอบได้ด้วยตัวเองง่ายๆ ผ่านเว็บไซต์สำนักงานประกันสังคม ตามขั้นตอนต่อไปนี้
1. เข้าสู่เว็บไซต์ “ประกันสังคม” www.sso.go.th
2. เลือกเมนู เข้าสู่ระบบ (กรณีไม่เคยลงทะเบียนสามารถกด สมัครสมาชิก ก่อนให้เรียบร้อย)